นครศรีธรรมราช – ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช สั่งตั้งคณะกรรมการสอบปลัดอาวุโสอำเภอชะอวดหลังมีการร้องเรียนว่า ได้แอบขายรถแบ็กโฮของกลางในคดีความผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ – หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมเผยเรื่องที่ร้องเรียนมีมูลชัดเจน เตรียมเอาผิดทั้งวินัยและอาญา
วันนี้ (24 พ.ค.) นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้สั่งการให้นายจารุมัย นพรัตน์ หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช ทำหนังสือด่วนถึงนายไพศาล บุญล้อมอำเภอชะอวด จ.นครศรีธรรมราช เพื่อให้สอบสวนข้อเท็จจริงกรณีที่นายสุเทพ แก้วประดิษฐ์ ปลัดอาวุโส อ.ชะอวด ได้ขายรถแบ็กโฮตีนตะขาบของกลางในคดีความผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ โดยเป็นการขายของกลางที่ผิดกฎระเบียบของทางราชการ จนมีการร้องเรียนไปผ่านทางเว็ปไชด์ nakhonsithammarath.go.th ตามนโยบาย “นคร 24 ชั่วโมง” ของผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช
นอกจากเรื่องการแอบขายรถแบ็กโฮตีนตะขาบแล้ว ยังมีการร้องเรียนว่าข้าราชการตำแหน่งใหญ่ของ อ.ชะอวด ใช้อำนาจข่มเหงรังแก กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และใช้หน้าที่หาผลประโยชน์เข้ากระเป๋า เก็บเงินรีดไถ บ่อน หวย โรงแรม โรงงานไม้ยาง ร้านนวดสถานบริการ เป็นต้น จึงขอให้สอบสวนข้อเท็จจริง และรายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชทราบโดยด่วน
หลังมีการร้องเรียน นายสุเทพ แก้วประดิษฐ์ ปลัดอาวุโส อ.ชะอวด ได้ชี้แจงกับนายจารุมัย นพรัตน์ หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรม และนายสุรินทร์ รักษาแก้ว ผ่านทางรายการสถานีวิทยุแห่งประเทศไทยจังหวัดนครศรีธรรมราช คลื่น 100 MHz โดยยอมรับว่าได้ขายรถแบ็กโฮของกลางคันดังกล่าวไปจริงในราคา 50,000 บาท และนำเงินที่ได้จากการขายรถแบ็กโฮของกลางมาใช้จ่ายในกิจการของอำเภอชะอวด
นอกจากนี้ ยังมีคนที่อ้างว่าเป็นเป็นข้าราชการอำเภอชะอวดชี้แจงทางเว็ปไซต์ nakhonsitham.go.th ว่ารถแทรกเตอร์ที่กล่าวถึง คือ กองซากเศษเหล็กซึ่งจอดทิ้งอยู่ที่หน้าบ้านพักปลัดอำเภออาวุโสเป็นเวลาประมาณไม่น้อยกว่า 25 ปี ทราบมาว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในสมัยนั้นไปตรวจยึดมาและจอดทิ้งไว้ โดยไม่มีการลงทะเบียนคุมเพื่อเป็นหลักฐานระบุที่มาที่ไป
เมื่อนายอำเภอคนปัจจุบันย้ายมาดำรงตำแหน่ง และมีปลัดอำเภออาวุโสย้ายมาใหม่พิจารณาเห็นว่าไม่เหมาะสมกับสภาพภูมิทัศน์ของบ้านพัก จึงสั่งให้ออกประกาศอำเภอเพื่อให้เจ้าของมาแสดงตน แต่ปรากฏว่า ไม่มีผู้ใดมาติดต่อและแสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของภายในระยะเวลาที่กำหนด ฉะนั้นเมื่อพ้นกำหนดเวลาแล้ว อำเภอจึงได้ขายซากรถแทรกเตอร์ดังกล่าวเป็นเศษเหล็ก และนำเงินไปใช้ในสาธารณประโยชน์ต่อไป
ในขณะที่มีคนที่อ้างว่าเป็นข้าราชการอำเภอชะอวด อีกคนหนึ่งชี้แจงเรื่องราวโต้แย้งว่า เป็นการโกหกว่ารถแทรกเตอร์ 2 คันนั้น เป็นซากเศษเหล็กกองทิ้งไว้ 25 ปี แล้ว ความจริงคือรถแทรกเตอร์ดังกล่าวนั้น ปลัดอำเภอชะอวดในสมัยนั้น ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เป็นคนจับกุมมาเพราะไปบุกรุกไถ่ที่เขตป่าบนเขาลำปะ ท้องที่ตำบลเขาพระทอง อ.ชะอวด เข้าบันทึกจับกุมตรวจยึดของกลางเรียบร้อย ส่งหัวหน้าพนักงานสอบสวนคือ นายอำเภอในสมัยนั้นนายธงชัย วรรธนะพิศิษฐ์ (ปัจจุบัน ผอ.กกต.นครศรีธรรมราช) สั่งฟ้องดำเนินคดีต่อเนื่อง ซึ่งต่อสู้คดีกันมายาวนานถึงศาลกีฏา คดีเพิ่งถึงที่สุดโดยศาลสั่งให้ยึดรถของกลางตกเป็นของหลวง ให้เก็บของกลางไว้ที่อำเภอชะอวด เพื่อดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยของกลางในคดีป่าไม้
“หลังคดีถึงที่สุดนายอำเภอได้ขออนุมัติผู้ว่าราชการจังหวัด ให้ขายทอดตลาดเมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ว่า ฯในขณะนั้น คือ นายวิชม ทองสงค์ แต่ตามระเบียบราชการเรื่องนี้เป็นอำนาจของอธิบดีกรมป่าไม้ และจะต้องมอบอำนาจให้ผู้ว่าฯ ดำเนินการ และในขณะนี้เรื่องก็ยังอยู่ที่กรมป่าไม้ (เรื่องเดิมอยู่ที่ทำการปกครองจังหวัด) ดังนั้นการอ้างว่าประกาศหาเจ้าของแล้วแต่ไม่พบตัวเจ้าของรถแม็กโฮของกลาง มีอำนาจอะไรประกาศ เจ้าของรถคือคนที่ถูกดำเนินคดี เขามีชื่ออยู่ในคำพิพากษาเล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีสิทธิ์ขอคืนรถ เพราะเพราะศาลสั่งให้เป็นของหลวงแล้วจะไปประกาศหาเขาตัวเขาทำไม เป็นเรื่องเจตนาทุจริตเข้าข่ายเป็นโจรลักขโมยของกลางไปขาย”
เพราะฉะนั้นใครเป็นคนขาย ใครเป็นคนซื้อ มีผู้เสนอราคาประมูลกี่ราย เอาเงินที่ขายไปเก็บที่ไหน โดยหากมีอำนาจในการขายของกลางเงิน ที่ขายของกลางต้องเป็นรายได้ของแผ่นดิน เพราะเป็นการขายทรัพย์สินที่เป็นของแผ่นดินตามคำสั่งศาล ไม่ใช่เอาไปทำสาธารณกุศลตามใจคนขายอย่างที่อ้าง หากทำได้อย่างนี้ต่อไปก็คงจะขายที่ว่าการอำเภอแล้ว อ้างว่าเอาเงินไปทำการสาธารณกุศล ผู้ว่าราชการจังหวัดและศูนย์ดำรงธรรมต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน และผู้มีอำนาจจะต้องแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่แอบขายของกลาง และต้องมีการติดตามของกลางที่ถูกลักไปคืนมาด้วย
ในขณะที่นายจารุมัย นพรัตน์ หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าผู้ที่ร้องเรียนมีข้อมูลที่มีน้ำหนัก มีตัวบุคคลที่เป็นผู้จับกุมตรวจยึดรถแม็กโฮที่ชัดเจน โดยเรื่องดังกล่าวที่อ้างว่าเป็นซากรถแบ็กโฮนานกว่า 25 ปีนั้นในข้อเท็จจริงรถแบ็กโฮคันดังกล่าวถูกยึดเป็นของกลางเมื่อปี 2540 ในสมัยที่นายธงชัย วรรธนะพิศิษฐ์ เป็นนายอำเภอชะอวด นายประกิต เทพชนะ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช แต่ในปัจจุบันนายธงชัย ดำรงตำแหน่ง ผอ.กกต.นครศรีธรรมราช ส่วนนายประกิต เกษียณอายุราชการไปแล้ว
หลังได้รับการร้องเรียนผู้ว่าราชการจังหวัดได้ดำเนินการตามระเบียบราชการ คือ มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และหากพบว่าเรื่องที่ร้องเรียนเป็นเรื่องจริงต่อไปก็ต้องมีการดำเนินการสอบสวนเอาผิดทางวินัยและทางอาญาด้วย นายจารุมัย กล่าว
วันนี้ (24 พ.ค.) นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้สั่งการให้นายจารุมัย นพรัตน์ หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช ทำหนังสือด่วนถึงนายไพศาล บุญล้อมอำเภอชะอวด จ.นครศรีธรรมราช เพื่อให้สอบสวนข้อเท็จจริงกรณีที่นายสุเทพ แก้วประดิษฐ์ ปลัดอาวุโส อ.ชะอวด ได้ขายรถแบ็กโฮตีนตะขาบของกลางในคดีความผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ โดยเป็นการขายของกลางที่ผิดกฎระเบียบของทางราชการ จนมีการร้องเรียนไปผ่านทางเว็ปไชด์ nakhonsithammarath.go.th ตามนโยบาย “นคร 24 ชั่วโมง” ของผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช
นอกจากเรื่องการแอบขายรถแบ็กโฮตีนตะขาบแล้ว ยังมีการร้องเรียนว่าข้าราชการตำแหน่งใหญ่ของ อ.ชะอวด ใช้อำนาจข่มเหงรังแก กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และใช้หน้าที่หาผลประโยชน์เข้ากระเป๋า เก็บเงินรีดไถ บ่อน หวย โรงแรม โรงงานไม้ยาง ร้านนวดสถานบริการ เป็นต้น จึงขอให้สอบสวนข้อเท็จจริง และรายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชทราบโดยด่วน
หลังมีการร้องเรียน นายสุเทพ แก้วประดิษฐ์ ปลัดอาวุโส อ.ชะอวด ได้ชี้แจงกับนายจารุมัย นพรัตน์ หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรม และนายสุรินทร์ รักษาแก้ว ผ่านทางรายการสถานีวิทยุแห่งประเทศไทยจังหวัดนครศรีธรรมราช คลื่น 100 MHz โดยยอมรับว่าได้ขายรถแบ็กโฮของกลางคันดังกล่าวไปจริงในราคา 50,000 บาท และนำเงินที่ได้จากการขายรถแบ็กโฮของกลางมาใช้จ่ายในกิจการของอำเภอชะอวด
นอกจากนี้ ยังมีคนที่อ้างว่าเป็นเป็นข้าราชการอำเภอชะอวดชี้แจงทางเว็ปไซต์ nakhonsitham.go.th ว่ารถแทรกเตอร์ที่กล่าวถึง คือ กองซากเศษเหล็กซึ่งจอดทิ้งอยู่ที่หน้าบ้านพักปลัดอำเภออาวุโสเป็นเวลาประมาณไม่น้อยกว่า 25 ปี ทราบมาว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในสมัยนั้นไปตรวจยึดมาและจอดทิ้งไว้ โดยไม่มีการลงทะเบียนคุมเพื่อเป็นหลักฐานระบุที่มาที่ไป
เมื่อนายอำเภอคนปัจจุบันย้ายมาดำรงตำแหน่ง และมีปลัดอำเภออาวุโสย้ายมาใหม่พิจารณาเห็นว่าไม่เหมาะสมกับสภาพภูมิทัศน์ของบ้านพัก จึงสั่งให้ออกประกาศอำเภอเพื่อให้เจ้าของมาแสดงตน แต่ปรากฏว่า ไม่มีผู้ใดมาติดต่อและแสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของภายในระยะเวลาที่กำหนด ฉะนั้นเมื่อพ้นกำหนดเวลาแล้ว อำเภอจึงได้ขายซากรถแทรกเตอร์ดังกล่าวเป็นเศษเหล็ก และนำเงินไปใช้ในสาธารณประโยชน์ต่อไป
ในขณะที่มีคนที่อ้างว่าเป็นข้าราชการอำเภอชะอวด อีกคนหนึ่งชี้แจงเรื่องราวโต้แย้งว่า เป็นการโกหกว่ารถแทรกเตอร์ 2 คันนั้น เป็นซากเศษเหล็กกองทิ้งไว้ 25 ปี แล้ว ความจริงคือรถแทรกเตอร์ดังกล่าวนั้น ปลัดอำเภอชะอวดในสมัยนั้น ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เป็นคนจับกุมมาเพราะไปบุกรุกไถ่ที่เขตป่าบนเขาลำปะ ท้องที่ตำบลเขาพระทอง อ.ชะอวด เข้าบันทึกจับกุมตรวจยึดของกลางเรียบร้อย ส่งหัวหน้าพนักงานสอบสวนคือ นายอำเภอในสมัยนั้นนายธงชัย วรรธนะพิศิษฐ์ (ปัจจุบัน ผอ.กกต.นครศรีธรรมราช) สั่งฟ้องดำเนินคดีต่อเนื่อง ซึ่งต่อสู้คดีกันมายาวนานถึงศาลกีฏา คดีเพิ่งถึงที่สุดโดยศาลสั่งให้ยึดรถของกลางตกเป็นของหลวง ให้เก็บของกลางไว้ที่อำเภอชะอวด เพื่อดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยของกลางในคดีป่าไม้
“หลังคดีถึงที่สุดนายอำเภอได้ขออนุมัติผู้ว่าราชการจังหวัด ให้ขายทอดตลาดเมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ว่า ฯในขณะนั้น คือ นายวิชม ทองสงค์ แต่ตามระเบียบราชการเรื่องนี้เป็นอำนาจของอธิบดีกรมป่าไม้ และจะต้องมอบอำนาจให้ผู้ว่าฯ ดำเนินการ และในขณะนี้เรื่องก็ยังอยู่ที่กรมป่าไม้ (เรื่องเดิมอยู่ที่ทำการปกครองจังหวัด) ดังนั้นการอ้างว่าประกาศหาเจ้าของแล้วแต่ไม่พบตัวเจ้าของรถแม็กโฮของกลาง มีอำนาจอะไรประกาศ เจ้าของรถคือคนที่ถูกดำเนินคดี เขามีชื่ออยู่ในคำพิพากษาเล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีสิทธิ์ขอคืนรถ เพราะเพราะศาลสั่งให้เป็นของหลวงแล้วจะไปประกาศหาเขาตัวเขาทำไม เป็นเรื่องเจตนาทุจริตเข้าข่ายเป็นโจรลักขโมยของกลางไปขาย”
เพราะฉะนั้นใครเป็นคนขาย ใครเป็นคนซื้อ มีผู้เสนอราคาประมูลกี่ราย เอาเงินที่ขายไปเก็บที่ไหน โดยหากมีอำนาจในการขายของกลางเงิน ที่ขายของกลางต้องเป็นรายได้ของแผ่นดิน เพราะเป็นการขายทรัพย์สินที่เป็นของแผ่นดินตามคำสั่งศาล ไม่ใช่เอาไปทำสาธารณกุศลตามใจคนขายอย่างที่อ้าง หากทำได้อย่างนี้ต่อไปก็คงจะขายที่ว่าการอำเภอแล้ว อ้างว่าเอาเงินไปทำการสาธารณกุศล ผู้ว่าราชการจังหวัดและศูนย์ดำรงธรรมต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน และผู้มีอำนาจจะต้องแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่แอบขายของกลาง และต้องมีการติดตามของกลางที่ถูกลักไปคืนมาด้วย
ในขณะที่นายจารุมัย นพรัตน์ หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าผู้ที่ร้องเรียนมีข้อมูลที่มีน้ำหนัก มีตัวบุคคลที่เป็นผู้จับกุมตรวจยึดรถแม็กโฮที่ชัดเจน โดยเรื่องดังกล่าวที่อ้างว่าเป็นซากรถแบ็กโฮนานกว่า 25 ปีนั้นในข้อเท็จจริงรถแบ็กโฮคันดังกล่าวถูกยึดเป็นของกลางเมื่อปี 2540 ในสมัยที่นายธงชัย วรรธนะพิศิษฐ์ เป็นนายอำเภอชะอวด นายประกิต เทพชนะ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช แต่ในปัจจุบันนายธงชัย ดำรงตำแหน่ง ผอ.กกต.นครศรีธรรมราช ส่วนนายประกิต เกษียณอายุราชการไปแล้ว
หลังได้รับการร้องเรียนผู้ว่าราชการจังหวัดได้ดำเนินการตามระเบียบราชการ คือ มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และหากพบว่าเรื่องที่ร้องเรียนเป็นเรื่องจริงต่อไปก็ต้องมีการดำเนินการสอบสวนเอาผิดทางวินัยและทางอาญาด้วย นายจารุมัย กล่าว