ยะลา - เหยื่อสถานการณ์ใต้ร้องนายกเทศบาลนครยะลาของานทำ หลังโจรใต้กราดยิงน้าชาย 2 คนเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา ทำให้กิจการบริการรถดูดสิ่งปฏิกูลต้องเลิกกิจการ ไม่มีรายได้จุนเจือครอบครัว
จากสถาการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่เว้นแม้กระทั้งเด็ก สตรี หรือคนชราที่กระทำโดยกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ โดยมีเป้าหมายในการสร้างความหวาดระแวง และก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันของคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยพุทธกับชาวมุสลิม หรือแม้กระทั่งชาวมุสลิมด้วยกันเองในบางกลุ่มก็ตาม
ได้ส่งผลกระทบอย่างมากมายแก่ทายาทและญาติพี่น้องของผู้สูญเสียชีวิต เด็กเล็กๆ หลายร้อยชีวิตในพื้นที่ ทั้งชาวไทยพุทธ และไทยมุสลิม ต่างต้องกำพร้าพ่อหรือแม่ จากเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้คร่าชีวิตผู้คนในพื้นที่ไปแล้วกว่า 3,000 คน นับจากเกิดเหตุการณ์ปล้นปืน เมื่อต้นปี 2547 เป็นต้นมา จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังดูเหมือนว่าสถานการณ์จะยังคงเลวร้ายต่อไปและยังคงเพิ่มดีกรีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มีการก่อเหตุในหลากหลายรูปแบบ เช่น มีการลอบวางระเบิด ลอบยิง ลอบวางเพลิง ตลอดในระยะเวลา 5 ปี เช่นเดียวกับครอบครัวของ น.ส.นวรัก ศรีสุข อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8 ถ.ธนวิถี 4 อ.เมือง จ.ยะลา ที่รอดชีวิตจากสถานการณ์แต่ต้องสูญเสียผู้เป็นน้าชายต่อหน้าต่อตา จำนวน 2 คน ในสถานการณ์การก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนทำให้ตนเอง และครอบครัวไม่กล้าที่จะออกไปทำงานนอกพื้นที่ต่อไปเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน
จนทำให้ครอบครัวเกิดความเดือดร้อนยากลำบาก เพราะธุรกิจรับดูดสิ่งปฏิกูลตามหมู่บ้าน ที่ทำกันภายในเครือญาติ กว่า 5 ปี ต้องหยุดลง ทำให้ไม่มีรายได้ เหมือนที่ผ่านมา ปัจจุบันนางสาวนวรัก ศรีสุข ต้องกลายเป็นคนตกงาน ขาดรายได้มาจุนเจือครอบครัว จึงตัดสินใจเดินทางไปพบนายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลา เพื่อของานทำ เพื่อนำรายได้ไปดูแลครอบครัว ซึ่งได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะต้องรับภาระดูแลคุณลุงที่ต้องนอนรอความตายด้วยโรคอัมพาตอยู่ที่บ้านอีกด้วย
น.ส.นวรัก ศรีสุข เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เมื่อเดือนมกราคม 2551 ตนเองพร้อมกับน้าชาย และคนงานรวม 5 คนขับรถยนต์ดูดสิ่งปฏิกูลเข้าไปรับจ้างในพื้นที่ ต.ปากู อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ขณะที่กำลังทำการดูดสิ่งปฏิกูลอยู่นั้นมีคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและ จำนวนใช้อาวุธปืนสงครามยิงเข้าใส่รถยนต์ และน้าชายของตนเองต่อหน้าต่อตาจนเสียชีวิตจำนวน 2 คน ทำให้ตนเองหวาดกลัวต่อเหตุการณที่เกิดขึ้นอย่างมากจนต้องขายรถดูดสิ่งปฏิกูลที่มีอยู่ทั้ง 2 คันไป
หลังจากนั้นก็กลายเป็นคนว่างงานไม่มีงานทำ รายได้ภายในครอบครัวก็ไม่มี ตนเองเลยตัดสินใจไปหางานทำที่กรุงเทพฯ ทำงานได้ประมาณ 5 เดือนก็ต้องกลับมาที่บ้านอีก เพราะเป็นห่วงแม่ กับลุง เพราะทั้ง 2 คนสุขภาพไม่แข็งแรง แม่เป็นโรคหอบ ส่วนลุงเป็นอัมพฤกษ์
ส่วนแม่ (นางนงเยาว์ นิชาอุดมรัตน์ อายุ 45 ปี) ขณะนี้ทำงานเป็นลูกจ้างกวาดถนนของเทศบาลนครยะลา รายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัว ตนเองจึงได้ตัดสินใจเข้าไปที่สำนักงานเทศบาลนครยะลา เพื่อของานทำจากนายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลา เพราะว่าตนเองไม่มีที่ไปแล้ว
ถ้าหากไม่มีงานทำก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งโชคดีมากที่นายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลา ได้เปิดโอกาสให้ตนเองได้มีงานทำ ถึงแม้ว่างานที่ได้รับจะยากลำบากขนาดไหนตนเองก็จะทำ เพราะตนเองไม่ได้เลือกงาน แค่อยากให้มีงานทำเพื่อช่วยเหลือครอบครัว และนำเงินมาใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อให้สมกับที่ทางสำนักงานเทศบาลนครยะลาได้ให้โอกาสแก่ตน และ ตนเองขอสัญญาว่าจะตั้งใจทำงาน และเป็นคนดีของสังคมต่อไป
นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลา กล่าวว่า วันนี้ น.ส.นวรัก ศรีสุข ได้มาเล่าถึงความเดือดร้อน และผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น กับครอบครัว และของานทำกับตนเอง ซึ่งตนเองก็ได้ให้โอกาสกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบอยู่แล้ว จึงได้ตัดสินใจรับ น.ส.นวรัก เข้ามาทำงานเป็นลูกจ้างของเทศบาลนครยะลา และตนเอง ก็ได้พูดกับ น.ส.นวรัก ด้วยว่า ครั้งนี้ตนเองให้โอกาสเข้ามาทำงาน เพราะ น.ส.นวรัก เป็นคนดี เรียบร้อย รักครอบครัว แต่ก็มีข้อแม้ว่าเมื่อได้งานแล้ว ต้องตั้งใจในการทำงาน เพื่อประโยชน์ของชาวบ้านในพื้นที่ ต้องทำงานให้ดีๆ ทำงานเพื่อสาธารณะ ต้องให้เกิดประโยชน์กับสาธารณะมากที่สุด และก็ได้บอกกับครอบครัว หากไม่ตั้งใจทำงาน หรือ ประพฤติตนไม่ดี ต้องลาออกจากงานโดยทันที
นี่เป็นอีกรายหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ซึ่งทางรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้อง กล่าวมาโดยตลอดว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้นตามลำดับ ส่วนจะเป็นดีขึ้นจริงหรือไม่นั้น ประชาชนในพื้นที่จะรู้ดีว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร