ตรัง – ครูสาวฆ่าลูกเลี้ยงวัย 10 ขวบ ในโรงเรียนดังแห่งหนึ่ง อ.เมือง ตรัง ตามร่างกายพบรอยฟกช้ำจำนวนมาก แพทย์ระบุสาเหตุ คาดว่า มาจากการฆาตกรรม ญาติผู้ตายระบุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดถึงที่สุด
วันนี้ (18 พ.ย.) เมื่อเวลา 11.30 น.ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดตรัง ได้เดินทางไปยังวัดเขาวิเศษ อ.วังเศษ จ.ตรัง หลังจาก พล.ต.ต.ประเสริฐ จันทร์สว่าง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง ได้เปิดเผยถึงคดีการตายของ เด็กหญิงชฎามาส สินศิริ หรือ น้องวีนัส อายุ 10 ปี ซึ่งได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา โดยแพทย์เวรโรงพยาบาลตรัง ได้ระบุว่า สาเหตุการตายของน้องวีนัส เนื่องมาจากการฆาตกรรม จากนั้นได้ส่งศพผ่าพิสูจน์ที่ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (มอ.) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และผลการผ่าพิสูจน์ ปรากฏว่า น้องวีนัส ได้เสียชีวิต เนื่องจากเลือดออกในช่องท้องและเสียเลือดมาก เพราะลำไส้ใหญ่ช่วงใกล้กับไส้ติ่งฉีกขาดและตับอ่อนแตก
ต่อมาเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2551 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองตรัง ได้ขออนุมัติหมายจับของศาลจังหวัดตรัง พร้อมติดตามควบคุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดตรัง คือ นางโสภาวดี สินศิริ อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46/35 ถนนวังตอ ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงของน้องวีนัส โดยมีอาชีพเป็นครูพิเศษ โรงเรียนพรศิริกุลปฐมวัย อ.เมืองตรัง และจากการสอบสวนเบื้องต้น นางโสภาวดี ผู้ต้องหา ได้ให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่า ไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าน้องวีนัส แต่ให้การยอมรับว่าได้เคยทำร้ายร่างกายน้องวีนัส ลูกเลี้ยงจริง จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว นางโสภาวดี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยคัดค้านการประกันตัวในชั้นสอบสวน และจะนำตัวฝากขังต่อศาลจังหวัดตรังนัดแรก ในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้
ทั้งนี้ จากการสอบถาม นายบุญเนื่อง สินศิริ อายุ 43 ปี ผู้เป็นอาของน้องวีนัส ได้เล่าถึงวันที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่า ตนได้รับแจ้งจากพี่ชาย คือ นายนิคม สินศิริ อายุ 46 ปี พ่อของน้องวีนัส ว่า หลานสาวได้เสียชีวิตแล้วที่โรงพยาบาลตรัง จากนั้นจึงเดินทางไปตรวจสอบ และได้สอบถามแพทย์ถึงสาเหตุการตาย พบว่า หลานสาวได้เสียชีวิตด้วยวิธีการที่ผิดธรรมชาติ และได้เสียชีวิตก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาลตรัง นอกจากนั้น เมื่อตนได้ขอดูศพหลานสาว ก็พบร่องรอยฟกซ้ำตามร่ายกาย ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่บริเวณใต้ร่มผ้าเป็นจำนวนมาก โดยบาดแผลที่เล็กที่สุดจะเป็นร่องรอยของการจิกของเล็บ จนกลายเป็นแผลถลอกที่เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดให้ถึงที่สุด
นายบุญเนื่อง กล่าวอีกว่า จากการสอบถามบุคคลที่รู้จัก ซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกับ นางโสภาวดี แม่เลี้ยง ต่างเล่าเป็นเสียงเดียวกันว่า ในช่วงวันเกิดเหตุ น้องวีนัส มีอาการป่วยไม่สบาย และมีสีหน้าที่บ่งบอกว่า มีความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก จนทุกคนที่พบเห็นต่างแนะนำให้ นางโสภาวดี แม่เลี้ยง พาน้องวีนัสไปหาหมอ เพื่อตรวจดูอาการป่วย และรักษาอาการให้หาย แต่ นางโสภาวดี แม่เลี้ยง ก็เพิกเฉย จนน้องวีนัสหมดสติอยู่ภายในห้องน้ำ โรงเรียนที่นางโสภาวดี แม่เลี้ยง ทำงานอยู่ จนถึงแก่ความตายในที่สุด ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นครู ผู้เป็นตัวแทนของพ่อแม่ในการดูแลศิษย์ให้เป็นคนดี
นอกจากนี้ จากการสอบถาม นางโสภาวดี แม่เลี้ยง ในช่วงวันเกิดเหตุ ได้เล่าให้ญาติทุกๆ คนฟังว่า น้องวีนัส มีอาการป่วยไม่สบาย และได้หายไปในห้องน้ำโรงเรียนที่ตนได้สอนอยู่ เมื่อผิดสังเกตได้เรียกน้องวีนัสแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งน้องวีนัสก็ได้ส่งเสียงออกมาจึงไม่เอะใจ แต่เมื่อหายไปนาน และส่งเสียงเรียกอีกครั้ง กลับไม่มีการตอบกลับของน้องวีนัส และเมื่อเข้าไปดูในห้องน้ำ พบว่า น้องวีนัส เป็นลมล้มอยู่ภายในห้องน้ำและหมดสติไปแล้ว จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลและได้เสียชีวิตในที่สุด
อย่างไรก็ตาม นายบุญเนื่อง ผู้เป็นอาของน้องวีนัส ได้กล่าวทั้งน้ำตากับผู้สื่อข่าว ว่า ญาติทุกคนได้ตกลงกันว่า จะยังไม่มีการฌาปนกิจศพของ น้องวีนัส จนกว่าคดีจะถึงที่สิ้นสุด คือ ให้ผู้กระทำผิดออกมายอมรับว่า ได้กระทำการอย่างเหี้ยมโหดกับเด็กที่ไม่มีทางสู้เพราะอะไร และใช้วิธีการใดบ้างจนทำให้เด็กตัวเล็กๆ ต้องตายอย่างทรมาน ซึ่งตนเองอยากให้คดีของน้องวีนัส เป็นหนึ่งอุทาหรณ์ที่พ่อแม่ทุกคนไม่ควรชะล่าใจ เนื่องจากเป็นภัยใกล้ตัวที่คนไม่อาจคาดคิด โดยในวันนี้จะมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเป็นวันสุดท้าย และจะเก็บศพน้องวีนัสไว้จนกว่าคดีเป็นที่พอใจของญาติๆ ก่อนที่จะนำศพของน้องวีนัสออกมาฌาปนกิจตามศาสนาต่อไป