นครศรีธรรมราช – ประชาธิปัตย์ย้ำรัฐบาลอยู่ไม่ได้ เหตุสังคมไม่ให้โอกาสแล้ว กระตุกต่อมสำนึกแนะ ‘สมชาย’ เสียสละเพื่อชาติ
ที่ จ.นครศรีธรรมราช วันนี้ (19 ต.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในวันนี้ว่า มาจนถึงวันนี้รัฐบาลอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีความพยายามในการยื้อเวลาออกไปอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่หาเหตุผลต่างๆ ให้สังคมคล้อยตามไม่ได้ และเชื่อได้ว่าสังคมไม่ได้ให้โอกาสรัฐบาลนี้อีกแล้ว นับแต่วันที่ ผบ.เหล่าทัพอยู่ในเครื่องแบบได้ร่วมกันแถลงผ่านหน้าจอทีวี ถือเป็นมาตรการที่รุนแรงที่สุดของกองทัพในสถานการณ์เช่นนี้
การที่ผู้นำเหล่าทัพมาพูดเช่นนี้ เชื่อว่าไม่ต้องการที่จะปฏิวัติ เป็นความรู้สึกจริงและเชื่อว่าไม่ใช่การดัดจริตทางการเมือง ฉะนั้น แนวทางในการปฏิวัติรัฐประหารไม่มีอย่างแน่นอน แต่เห็นด้วยในแนวทางประชาธิปไตย ที่ผ่านมานายสมชายมีทางออกในการเลือกที่จะยุบสภาหรือลาออก แต่ไม่ทำกลับทำให้สังคมไทยต้องพบกับวงจรอุบาทว์ทางการเมืองซ้ำซาก นักการเมืองไร้สามัญสำนึก การเมืองในวันนี้เลี่ยงที่จะไม่ให้เผชิญหน้า และเกิดการปฏิวัติด้วยการลาออกหรือยุบสภาเท่านั้น เหตุใดวันนี้จึงไม่ทำ
นายเทพไท กล่าวต่อว่า รัฐบาลมาร้องแรกแหกกระเฌอว่ามาจากการเลือกตั้ง และจะต้องเป็นรัฐบาลต่อไปไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้องทั้งหมด รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหลายครั้งที่ต้องพ้นไปตามความไม่ชอบธรรมมีตัวอย่างให้เห็นมามากแล้ว ในต่างประเทศผู้นำที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง และนี่คือรัฐบาลที่ฆ่าและทำร้ายประชาชนของตัวเอง ยังมีหน้ามานั่งบริหารบนกองเลือด บนเศษซากอวัยวะ ครบเลือดคราบน้ำตากองกระดูกของประชาชนได้อีกหรือ
นอกจากที่รัฐบาลนี้จะไร้รับผิดชอบสำนึกชั่วดีแล้วนั้น ยังปักหลักที่จะสู้กับประชาชนในสังคมที่ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลนี้ และท่าทีของรัฐบาลนั้นแสดงออกถึงมาตรการตาต่อตาฟันต่อฟันไม่ลดราวาศอก
“เห็นได้จากการรายการสามเกลอหัวขวด ที่มีโฆษกรัฐบาลมานั่งสวมเสื้อสีเดียวกับ นปก.มาจัดรายการอยู่ปรากฏชัดเป็นการปลุกระดมประชาชนอย่างโจ่งแจ้งว่าให้มีการรวมคนกันที่ท้องสนามหลวงทันทีในวันที่ทหารใช้อำนาจ และประกาศเลยไปถึงการรวมตัวกันในวันที่ 1 พ.ย.ที่สนามกีฬารัชมังคลาฯ ทั้งยังให้สมาชิกพลังประชาชน ระดมคนที่เป็นหัวคะแนนตัวเอง ด้วยอัตรา สส.1 คนต่อประชาชน 1 พันคน เป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลไม่ถอยในขณะที่พันธมิตรฯเองมีกำหนดชุมนุมครั้งใหญ่ในวันที่ 21 ต.ค. นายสมชายและพลพรรค หลับตานึกภาพดู 2 กลุ่มที่มีความคิดต่างกันสงครามประชาชนกำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่”
ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ถ้ารัฐบาลไม่แก้วิกฤตการการเผชิญหน้าจะเกิดขึ้น การแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายนั้นมันชัดเจนอยู่แล้ว ตำรวจเองปฏิบัติตัวเป็น 2 มาตรฐาน เช่นตำรวจเข้มงวดกับพันธมิตรตั้งด่านตรวจ ตรวจค้น สกัดกั้น กีดกันการชุมนุม ขณะที่กลุ่ม นปก.ตำรวจกลับอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ ยังมีการประกาศออกมาจากแกนนำคนรักเชียงใหม่ว่าสามารถพกพาอาวุธเข้ามาได้เลย โดยไม่ถูกจับกุมเป็นข่าวที่แสดงให้สังคมเห็นไปแล้ว
“ตรงนี้ไม่แปลกเมื่อตำรวจปฏิบัติกับกลุ่มพันธมิตรฯแตกต่างกัน พันธมิตรจึงได้เรียกร้องให้ทหารออกมาปกป้องประชาชน สิ่งที่ต้องถามต่อไปถึงรัฐบาลว่าถ้าตำรวจและทหารมีการเลือกฝ่ายชัดเจนแล้วอะไรจะเกิดขึ้น อย่าลืมว่าแม้แต่รัฐบาลกับกองทัพในวันนี้ ต่างก็ขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เห็นได้จากนายกรัฐมนตรีปฏิเสธการใช้เครื่องบินของกองทัพไปเยี่ยมทหารที่ชายแดน และ ผบ.ทบ.ไม่ได้ตามไปด้วยส่อให้เห็นว่า รัฐบาลกับกองทัพทำงานด้วยกันไม่ได้ เข้าทำนอง รปภ.กลัวเจ้าของบ้านไล่ออก เจ้าของบ้านก็กลัว รปภ.จะบุกยึดบ้าน สถานการณ์เช่นนี้จะอยู่ได้อย่างไร” นายเทพไทกล่าว
ที่ จ.นครศรีธรรมราช วันนี้ (19 ต.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในวันนี้ว่า มาจนถึงวันนี้รัฐบาลอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีความพยายามในการยื้อเวลาออกไปอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่หาเหตุผลต่างๆ ให้สังคมคล้อยตามไม่ได้ และเชื่อได้ว่าสังคมไม่ได้ให้โอกาสรัฐบาลนี้อีกแล้ว นับแต่วันที่ ผบ.เหล่าทัพอยู่ในเครื่องแบบได้ร่วมกันแถลงผ่านหน้าจอทีวี ถือเป็นมาตรการที่รุนแรงที่สุดของกองทัพในสถานการณ์เช่นนี้
การที่ผู้นำเหล่าทัพมาพูดเช่นนี้ เชื่อว่าไม่ต้องการที่จะปฏิวัติ เป็นความรู้สึกจริงและเชื่อว่าไม่ใช่การดัดจริตทางการเมือง ฉะนั้น แนวทางในการปฏิวัติรัฐประหารไม่มีอย่างแน่นอน แต่เห็นด้วยในแนวทางประชาธิปไตย ที่ผ่านมานายสมชายมีทางออกในการเลือกที่จะยุบสภาหรือลาออก แต่ไม่ทำกลับทำให้สังคมไทยต้องพบกับวงจรอุบาทว์ทางการเมืองซ้ำซาก นักการเมืองไร้สามัญสำนึก การเมืองในวันนี้เลี่ยงที่จะไม่ให้เผชิญหน้า และเกิดการปฏิวัติด้วยการลาออกหรือยุบสภาเท่านั้น เหตุใดวันนี้จึงไม่ทำ
นายเทพไท กล่าวต่อว่า รัฐบาลมาร้องแรกแหกกระเฌอว่ามาจากการเลือกตั้ง และจะต้องเป็นรัฐบาลต่อไปไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้องทั้งหมด รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหลายครั้งที่ต้องพ้นไปตามความไม่ชอบธรรมมีตัวอย่างให้เห็นมามากแล้ว ในต่างประเทศผู้นำที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง และนี่คือรัฐบาลที่ฆ่าและทำร้ายประชาชนของตัวเอง ยังมีหน้ามานั่งบริหารบนกองเลือด บนเศษซากอวัยวะ ครบเลือดคราบน้ำตากองกระดูกของประชาชนได้อีกหรือ
นอกจากที่รัฐบาลนี้จะไร้รับผิดชอบสำนึกชั่วดีแล้วนั้น ยังปักหลักที่จะสู้กับประชาชนในสังคมที่ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลนี้ และท่าทีของรัฐบาลนั้นแสดงออกถึงมาตรการตาต่อตาฟันต่อฟันไม่ลดราวาศอก
“เห็นได้จากการรายการสามเกลอหัวขวด ที่มีโฆษกรัฐบาลมานั่งสวมเสื้อสีเดียวกับ นปก.มาจัดรายการอยู่ปรากฏชัดเป็นการปลุกระดมประชาชนอย่างโจ่งแจ้งว่าให้มีการรวมคนกันที่ท้องสนามหลวงทันทีในวันที่ทหารใช้อำนาจ และประกาศเลยไปถึงการรวมตัวกันในวันที่ 1 พ.ย.ที่สนามกีฬารัชมังคลาฯ ทั้งยังให้สมาชิกพลังประชาชน ระดมคนที่เป็นหัวคะแนนตัวเอง ด้วยอัตรา สส.1 คนต่อประชาชน 1 พันคน เป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลไม่ถอยในขณะที่พันธมิตรฯเองมีกำหนดชุมนุมครั้งใหญ่ในวันที่ 21 ต.ค. นายสมชายและพลพรรค หลับตานึกภาพดู 2 กลุ่มที่มีความคิดต่างกันสงครามประชาชนกำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่”
ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ถ้ารัฐบาลไม่แก้วิกฤตการการเผชิญหน้าจะเกิดขึ้น การแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายนั้นมันชัดเจนอยู่แล้ว ตำรวจเองปฏิบัติตัวเป็น 2 มาตรฐาน เช่นตำรวจเข้มงวดกับพันธมิตรตั้งด่านตรวจ ตรวจค้น สกัดกั้น กีดกันการชุมนุม ขณะที่กลุ่ม นปก.ตำรวจกลับอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ ยังมีการประกาศออกมาจากแกนนำคนรักเชียงใหม่ว่าสามารถพกพาอาวุธเข้ามาได้เลย โดยไม่ถูกจับกุมเป็นข่าวที่แสดงให้สังคมเห็นไปแล้ว
“ตรงนี้ไม่แปลกเมื่อตำรวจปฏิบัติกับกลุ่มพันธมิตรฯแตกต่างกัน พันธมิตรจึงได้เรียกร้องให้ทหารออกมาปกป้องประชาชน สิ่งที่ต้องถามต่อไปถึงรัฐบาลว่าถ้าตำรวจและทหารมีการเลือกฝ่ายชัดเจนแล้วอะไรจะเกิดขึ้น อย่าลืมว่าแม้แต่รัฐบาลกับกองทัพในวันนี้ ต่างก็ขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เห็นได้จากนายกรัฐมนตรีปฏิเสธการใช้เครื่องบินของกองทัพไปเยี่ยมทหารที่ชายแดน และ ผบ.ทบ.ไม่ได้ตามไปด้วยส่อให้เห็นว่า รัฐบาลกับกองทัพทำงานด้วยกันไม่ได้ เข้าทำนอง รปภ.กลัวเจ้าของบ้านไล่ออก เจ้าของบ้านก็กลัว รปภ.จะบุกยึดบ้าน สถานการณ์เช่นนี้จะอยู่ได้อย่างไร” นายเทพไทกล่าว