พัทลุง – กรรมาธิการวุฒิฯ ลงพื้นที่จังหวัดพัทลุง เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาทะเลสาบสงขลา ทั้งนี้ เพื่อให้การแก้ปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา สำเร็จ ลุล่วง และสร้างความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพัทลุง ว่า รองศาสตราจารย์ประเสริฐ ชิตพงษ์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภา พร้อมคณะ ได้เดินทางมาติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ทั้งด้านนโยบาย โครงสร้าง กฎหมาย เพื่อเสนอต่อรัฐบาล โดยมี นายสุเทพ โกมลภมร ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ให้การต้อนรับ พร้อมบรรยายสรุปปัญหาของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา โดยเฉพาะทะเลน้อย และการดำเนินการแก้ไขปัญหาในช่วงที่ผ่านมา
นายสุเทพ โกมลภมร ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า ปัญหาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาที่ประสบในขณะนี้ เป็นปัญหาความตื้นเขินของทะเลสาบ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาปริมาณของสัตว์น้ำลดลง และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตของประชาชนที่อาศัย อยู่รอบบริเวณลุ่มน้ำทะเลสาบ ทั้งการประกอบอาชีพ การดำรงชีวิต ซึ่งในเรื่องนี้ จังหวัดพัทลุง ได้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ทั้งเรื่องของสิ่งแวดล้อม น้ำเสียจากชุมชน และปัญหาการทิ้งขยะ โดยได้รณรงค์ให้ประชาชน มีจิตสำนึก ร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อม
นายสุเทพ ยังกล่าวอีกว่า การแก้ปัญหาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา รัฐบาลจัดทำแผนแม่บท ในการดำเนินงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบ บางครั้งขาดช่วง ล่าช้า และการแก้ปัญหาไม่ต่อเนื่อง ดังนั้น ขอให้รัฐบาลได้กำชับให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อให้การแก้ปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา สำเร็จ ลุล่วง และ สร้างความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน
สำหรับลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ สงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 8,729 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยพื้นที่ทะเลสาบ 1,042 ตารางกิโลเมตร ทางด้านทิศตะวันตกของลุ่มน้ำ มีเทือกเขาบรรทัด ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ มีความสูงประมาณ 1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นแหล่งต้นน้ำของลุ่มน้ำ ระบบนิเวศทะเลสาบสงขลา เป็นระบบทะเลสาบ ที่มีลักษณะเฉพาะตัว แห่งเดียวของประเทศไทย ที่มีลักษณะ 3 น้ำ คือ น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม และทะเลน้อย ซึ่งเป็นทะเลสาบตอนในอันได้รับอิทธิพลจากน้ำจืดจากต้นน้ำ และน้ำเค็มจากน้ำทะเล เป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรสัตว์น้ำ และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง แต่พบว่าปัจจุบันมีความเสื่อมโทรมเป็นอันมาก เนื่องจากน้ำเสียจากชุมชน และการบริหารจัดการที่ไม่ถูกต้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพัทลุง ว่า รองศาสตราจารย์ประเสริฐ ชิตพงษ์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภา พร้อมคณะ ได้เดินทางมาติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ทั้งด้านนโยบาย โครงสร้าง กฎหมาย เพื่อเสนอต่อรัฐบาล โดยมี นายสุเทพ โกมลภมร ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ให้การต้อนรับ พร้อมบรรยายสรุปปัญหาของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา โดยเฉพาะทะเลน้อย และการดำเนินการแก้ไขปัญหาในช่วงที่ผ่านมา
นายสุเทพ โกมลภมร ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า ปัญหาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาที่ประสบในขณะนี้ เป็นปัญหาความตื้นเขินของทะเลสาบ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาปริมาณของสัตว์น้ำลดลง และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตของประชาชนที่อาศัย อยู่รอบบริเวณลุ่มน้ำทะเลสาบ ทั้งการประกอบอาชีพ การดำรงชีวิต ซึ่งในเรื่องนี้ จังหวัดพัทลุง ได้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ทั้งเรื่องของสิ่งแวดล้อม น้ำเสียจากชุมชน และปัญหาการทิ้งขยะ โดยได้รณรงค์ให้ประชาชน มีจิตสำนึก ร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อม
นายสุเทพ ยังกล่าวอีกว่า การแก้ปัญหาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา รัฐบาลจัดทำแผนแม่บท ในการดำเนินงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบ บางครั้งขาดช่วง ล่าช้า และการแก้ปัญหาไม่ต่อเนื่อง ดังนั้น ขอให้รัฐบาลได้กำชับให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อให้การแก้ปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา สำเร็จ ลุล่วง และ สร้างความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน
สำหรับลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ สงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 8,729 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยพื้นที่ทะเลสาบ 1,042 ตารางกิโลเมตร ทางด้านทิศตะวันตกของลุ่มน้ำ มีเทือกเขาบรรทัด ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ มีความสูงประมาณ 1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นแหล่งต้นน้ำของลุ่มน้ำ ระบบนิเวศทะเลสาบสงขลา เป็นระบบทะเลสาบ ที่มีลักษณะเฉพาะตัว แห่งเดียวของประเทศไทย ที่มีลักษณะ 3 น้ำ คือ น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม และทะเลน้อย ซึ่งเป็นทะเลสาบตอนในอันได้รับอิทธิพลจากน้ำจืดจากต้นน้ำ และน้ำเค็มจากน้ำทะเล เป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรสัตว์น้ำ และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง แต่พบว่าปัจจุบันมีความเสื่อมโทรมเป็นอันมาก เนื่องจากน้ำเสียจากชุมชน และการบริหารจัดการที่ไม่ถูกต้อง
