ศูนย์ข่าวภูเก็ต - เลขาธิการสมาคมธนาคาร ระบุ ภาวะเศรษฐกิจอยู่ในภาวะเสี่ยงแนะปรับดอกเบี้ยต้องค่อยๆ ทำ-นักลงทุนต่างชาติชลอเหตุการเมืองยังไม่นิ่ง
ดร.ธวัชชัย ยงกิติคุณ เลขาธิการสมาคมธนาคาร กล่าวที่โรงแรมรอยัลภูเก็ต ซิตี้ จังหวัดภูเก็ต ถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยในขณะนี้ ว่า ในไตรมาสแรกมีเครื่องชี้วัดหลายตัว และแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวจากปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจส่วนรวม ตัวเลขการลงทุนของภาคเอกชน หรือการใช้จ่ายในครัวเรือน
แต่พอเข้าไตรมาสที่สอง ซึ่งต้องเจอกับภาวะราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง ทำให้โดยเฉพาะในเดือนพฤษภาคม เงินเฟ้อขึ้นสูงถึง 7.6% ภายในเดือนเดียวไม่เคยปรากฏเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ว่า เงินเฟ้อจะรุนแรงถึงขนาดนี้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สร้างความหนักใจมากว่าจะแก้ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อไม่ให้ลุกลามต่อไปอย่างไร สิ่งที่ไม่แน่ใจอีกอย่าง คือ ราคาน้ำมันซึ่งไม่แน่ใจว่าจะหยุดอยู่แค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าหากราคาน้ำมันไม่หยุดก็จะมีปัญหา ว่าในไตรมาสที่สองลามไปจนถึงครึ่งปีหลังหรือไม่ ซึ่งอันนี้ตนเชื่อว่าทุกฝ่ายก็มีความเห็นตรงกันว่ายังมีความเสี่ยงสูง
แต่อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่า ในภาวการณ์เช่นนี้ เรื่องนโยบายการเงินกับนโยบายการคลังต้องประสานกันให้ดี ในภาวะที่เงินเฟ้อรุนแรงอย่างนี้ เชื่อว่า แบงก์ชาติจะต้องดำเนินมาตรการทางการเงินเพื่อป้องกันไม่ให้เงินเฟ้อลุกลาม การปรับดอกเบี้ยก็คงจำเป็นต้องทำ แต่ว่าคงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ถ้าปรับดอกเบี้ยขึ้นมากเร็วมาก ก็ยิ่งจะทำให้เศรษฐกิจซึ่งกำลังชะลอตัวอาจจะชะงักงันลงได้
ส่วนในด้านของนโยบายการคลัง คิดว่า ขณะนี้มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลจำนวนมาก ซึ่งความจริงพร้อมแล้ว อันนี้ตนก็อยากจะเร่งให้มีการลงทุนในโครงการเหล่านี้โดยเร็ว เพื่อเป็นการมาชดเชยการลงทุนที่กำลังซบเซาของภาคเอกชน แล้วก็ถ้าราคาน้ำมันไม่ลุกลามเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังก็ยังพอไปได้ ซึ่งอันนี้ก็เป็นข้อสรุปที่ตนมองเห็นว่า ยังพอไปได้ แต่ว่าทั้งหมดก็ยังมีความเสี่ยง
ดร.ธวัชชัย ยังได้กล่าวถึงผลกระทบจากสภาวะทางการเมืองที่มีต่อการลงทุนทางเศรษฐกิจด้วยว่า การเมืองมีผลกระทบอย่างแน่นอน ซึ่งเท่าที่ได้มีการติดตามดู โดยเฉพาะในส่วนของนักลงทุนญี่ปุ่น มีการชะลอการลงทุน เพราะอยากจะรอดูให้เกิดความชัดเจนก่อน ตนก็หวังว่าหลังจากที่มีการอภิปรายทางการเมืองไปแล้ว การเมืองของไทยก็คงจะมีภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าจะไปทางไหน แล้วก็จะมีการแก้ไขกันอย่างไร
ดร.ธวัชชัย ยงกิติคุณ เลขาธิการสมาคมธนาคาร กล่าวที่โรงแรมรอยัลภูเก็ต ซิตี้ จังหวัดภูเก็ต ถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยในขณะนี้ ว่า ในไตรมาสแรกมีเครื่องชี้วัดหลายตัว และแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวจากปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจส่วนรวม ตัวเลขการลงทุนของภาคเอกชน หรือการใช้จ่ายในครัวเรือน
แต่พอเข้าไตรมาสที่สอง ซึ่งต้องเจอกับภาวะราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง ทำให้โดยเฉพาะในเดือนพฤษภาคม เงินเฟ้อขึ้นสูงถึง 7.6% ภายในเดือนเดียวไม่เคยปรากฏเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ว่า เงินเฟ้อจะรุนแรงถึงขนาดนี้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สร้างความหนักใจมากว่าจะแก้ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อไม่ให้ลุกลามต่อไปอย่างไร สิ่งที่ไม่แน่ใจอีกอย่าง คือ ราคาน้ำมันซึ่งไม่แน่ใจว่าจะหยุดอยู่แค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าหากราคาน้ำมันไม่หยุดก็จะมีปัญหา ว่าในไตรมาสที่สองลามไปจนถึงครึ่งปีหลังหรือไม่ ซึ่งอันนี้ตนเชื่อว่าทุกฝ่ายก็มีความเห็นตรงกันว่ายังมีความเสี่ยงสูง
แต่อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่า ในภาวการณ์เช่นนี้ เรื่องนโยบายการเงินกับนโยบายการคลังต้องประสานกันให้ดี ในภาวะที่เงินเฟ้อรุนแรงอย่างนี้ เชื่อว่า แบงก์ชาติจะต้องดำเนินมาตรการทางการเงินเพื่อป้องกันไม่ให้เงินเฟ้อลุกลาม การปรับดอกเบี้ยก็คงจำเป็นต้องทำ แต่ว่าคงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ถ้าปรับดอกเบี้ยขึ้นมากเร็วมาก ก็ยิ่งจะทำให้เศรษฐกิจซึ่งกำลังชะลอตัวอาจจะชะงักงันลงได้
ส่วนในด้านของนโยบายการคลัง คิดว่า ขณะนี้มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลจำนวนมาก ซึ่งความจริงพร้อมแล้ว อันนี้ตนก็อยากจะเร่งให้มีการลงทุนในโครงการเหล่านี้โดยเร็ว เพื่อเป็นการมาชดเชยการลงทุนที่กำลังซบเซาของภาคเอกชน แล้วก็ถ้าราคาน้ำมันไม่ลุกลามเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังก็ยังพอไปได้ ซึ่งอันนี้ก็เป็นข้อสรุปที่ตนมองเห็นว่า ยังพอไปได้ แต่ว่าทั้งหมดก็ยังมีความเสี่ยง
ดร.ธวัชชัย ยังได้กล่าวถึงผลกระทบจากสภาวะทางการเมืองที่มีต่อการลงทุนทางเศรษฐกิจด้วยว่า การเมืองมีผลกระทบอย่างแน่นอน ซึ่งเท่าที่ได้มีการติดตามดู โดยเฉพาะในส่วนของนักลงทุนญี่ปุ่น มีการชะลอการลงทุน เพราะอยากจะรอดูให้เกิดความชัดเจนก่อน ตนก็หวังว่าหลังจากที่มีการอภิปรายทางการเมืองไปแล้ว การเมืองของไทยก็คงจะมีภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าจะไปทางไหน แล้วก็จะมีการแก้ไขกันอย่างไร
