ศูนย์ข่าวภูเก็ต - คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาสิทธิประโยชน์กำลังพลชั้นผู้น้อยในกองทัพไทย สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เดินสายแจงกำลังพล หลังกฎหมาย 3 ฉบับมีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ทหารได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น
เมื่อวันที่ 21 ก.พ.2551 ที่ผ่านมา พล.อ.ประพาฬ นิลวงศ์ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาสิทธิประโยชน์กำลังพลชั้นผู้น้อยในกองทัพไทย สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และคณะ ได้พบปะชี้แจงกับกำลังพลของกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 25 (ร.25 พัน2) ค่ายรัตนรังสรรค์จังหวัดระนอง ถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับหลังพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์ของกำลังพลชั้นผู้น้อยในกองทัพไทย 3 ฉบับมีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นต้นไป คือ
1.พระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2551
2.พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 24) พ.ศ.2551
และ 3.พระราชบัญญัติระเบียบราชการทหาร (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2551 ซึ่งจะส่งผลให้กำลังพลกองทัพไทยประมาณ 340,000 นาย ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่างๆ เพิ่มขึ้น
พล.อ.ประพาฬ กล่าวว่า กฎหมายทั้ง 3 ฉบับ ที่มีผลบังคับใช้แล้วนั้น ส่วนใหญ่ผลประโยชน์จะตกอยู่กับกำลังพลชั้นผู้น้อยตั้งแต่พลทหารประจำการ นายทหารชั้นประทวน และนายทหารชั้นสัญญาบัตรถึงยศพันเอกพิเศษของทั้ง 3 เหล่าทัพ แต่นายทหารตั้งแต่ยศพลตรีขึ้นไปจะไม่ได้รับผลประโยชน์แต่อย่างใด
โดยพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของทหารมีการแยกออกมาจากข้าราชการทั่วไป ซึ่งจะทำให้ทหารเกณฑ์ที่ปกติมีเงินเดือนบวกเบี้ยงเลี้ยงแค่ 5,700 บาท กฎหมายใหม่นี้จะมีการเพิ่มเงินพิเศษให้เป็น 7,700 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 2,000 บาท
ส่วนทหารที่เงินเดือนเต็มขั้นมีประมาณ 60,000 คน จะสามารถขยายเพดานเงินเดือนให้สูงขึ้นได้ ทำให้เงินเดือนไม่ตัน และสามารถมีขั้นวิ่งในชั้นยศที่สูงขึ้นได้ ส่วนทหารที่ออกปฏิบัติหน้าที่สู้รบก็จะได้รับเงินเพิ่มพิเศษเช่นกันตามลำดับชั้นยศและความเสี่ยง นอกจากนี้ทหารพรานที่จากเดิมไม่มีสวัสดิการก็จะได้รับประโยชน์เช่นเดียวกับทหาร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ทหารชั้นผู้น้อยและครอบครัวโดยเป็นการเฉพาะ
ร.อ.วรรณโณ กรีมละ นายกสมาคมทหารผ่านศึกพิการแห่งประเทศไทย กล่าวว่า พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการฉบับใหม่ จะทำให้ทหารผ่านศึกที่พิการ ทุพพลภาพได้รับประโยชน์โดยตรง 3,155 คน โดยผู้ที่ได้รับบำนาญเดือนละไม่ถึง 15,000 บาท จะได้เป็น 15,000 บาททุกคน ซึ่งเริ่มตั้งแต่สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2551 นี้ เป็นต้นไป
เมื่อวันที่ 21 ก.พ.2551 ที่ผ่านมา พล.อ.ประพาฬ นิลวงศ์ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาสิทธิประโยชน์กำลังพลชั้นผู้น้อยในกองทัพไทย สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และคณะ ได้พบปะชี้แจงกับกำลังพลของกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 25 (ร.25 พัน2) ค่ายรัตนรังสรรค์จังหวัดระนอง ถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับหลังพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์ของกำลังพลชั้นผู้น้อยในกองทัพไทย 3 ฉบับมีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นต้นไป คือ
1.พระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2551
2.พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 24) พ.ศ.2551
และ 3.พระราชบัญญัติระเบียบราชการทหาร (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2551 ซึ่งจะส่งผลให้กำลังพลกองทัพไทยประมาณ 340,000 นาย ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่างๆ เพิ่มขึ้น
พล.อ.ประพาฬ กล่าวว่า กฎหมายทั้ง 3 ฉบับ ที่มีผลบังคับใช้แล้วนั้น ส่วนใหญ่ผลประโยชน์จะตกอยู่กับกำลังพลชั้นผู้น้อยตั้งแต่พลทหารประจำการ นายทหารชั้นประทวน และนายทหารชั้นสัญญาบัตรถึงยศพันเอกพิเศษของทั้ง 3 เหล่าทัพ แต่นายทหารตั้งแต่ยศพลตรีขึ้นไปจะไม่ได้รับผลประโยชน์แต่อย่างใด
โดยพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของทหารมีการแยกออกมาจากข้าราชการทั่วไป ซึ่งจะทำให้ทหารเกณฑ์ที่ปกติมีเงินเดือนบวกเบี้ยงเลี้ยงแค่ 5,700 บาท กฎหมายใหม่นี้จะมีการเพิ่มเงินพิเศษให้เป็น 7,700 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 2,000 บาท
ส่วนทหารที่เงินเดือนเต็มขั้นมีประมาณ 60,000 คน จะสามารถขยายเพดานเงินเดือนให้สูงขึ้นได้ ทำให้เงินเดือนไม่ตัน และสามารถมีขั้นวิ่งในชั้นยศที่สูงขึ้นได้ ส่วนทหารที่ออกปฏิบัติหน้าที่สู้รบก็จะได้รับเงินเพิ่มพิเศษเช่นกันตามลำดับชั้นยศและความเสี่ยง นอกจากนี้ทหารพรานที่จากเดิมไม่มีสวัสดิการก็จะได้รับประโยชน์เช่นเดียวกับทหาร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ทหารชั้นผู้น้อยและครอบครัวโดยเป็นการเฉพาะ
ร.อ.วรรณโณ กรีมละ นายกสมาคมทหารผ่านศึกพิการแห่งประเทศไทย กล่าวว่า พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการฉบับใหม่ จะทำให้ทหารผ่านศึกที่พิการ ทุพพลภาพได้รับประโยชน์โดยตรง 3,155 คน โดยผู้ที่ได้รับบำนาญเดือนละไม่ถึง 15,000 บาท จะได้เป็น 15,000 บาททุกคน ซึ่งเริ่มตั้งแต่สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2551 นี้ เป็นต้นไป
