ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – “ศุลกากร ภาค 4” มั่นใจคุมชายแดนไทย-มาเลย์ ได้อยู่หมัด เผยยอดลักลอบขนน้ำมันปาล์มเถื่อนเข้าประเทศลดลง ชี้มาเลย์ขาดแคลนเช่นกัน ซ้ำออกกฎเข้มลงโทษ
นายราฆพ ศรีศุภอรรถ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากร ภาคที่ 4 เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำมันปาล์มในพื้นที่พรมแดนไทย-มาเลเซีย โดยเฉพาะ จ.สงขลา และสตูล โดยระบุว่า ขณะนี้ไม่ได้มีการลักลอบขนน้ำมันปาล์มจากมาเลเซีย เข้ามายังฝั่งไทยมาก เหมือนอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ เพราะจากการที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้เกาะติดสถานการณ์น้ำมันปาล์มในรอบ 3 เดือน พบว่า มาเลเซียขาดแคลนน้ำมันปาล์มอย่างหนัก ถึงขนาดประชาชนได้เข้าร้องเรียนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลมาเลเซีย ว่า ไม่มีน้ำมันปาล์มใช้ และที่จำหน่ายในท้องตลาดก็มีราคาแพง ซึ่งทางการมาเลเซียได้มีมาตรการควบคุมการไหลออกของน้ำมันปาล์มอย่างเข้มงวด ส่งผลให้การลักลอบขนน้ำมันปาล์มเข้ามายังฝั่งไทยน้อยลง
“เป็นผลมาจากการประชุมร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ศุลกากรไทยและมาเลเซีย เมื่อเร็วๆ นี้ ทั้ง 2 ฝ่ายมีข้อตกลงร่วมกัน ว่า มาเลเซียจะเพิ่มความเข้มงวดในการลักลอบจนน้ำมันปาล์มเข้ามาในไทย และขณะนี้หากจะนำเข้าน้ำมันปาล์มอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะต้องขออนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์มาเลเซียเพียงอย่างเดียว แต่ก็เป็นเรื่องยากมาก
ทั้งนี้ เพราะขณะนี้มาเลเซียยังประสบกับภาวะวิกฤต เนื่องจากยังไม่ถึงฤดูที่ผลผลิตปาล์มดิบจะออกสู่ตลาด ทำให้ตลาดภายในประเทศมีความจำเป็นต้องใช้น้ำมันปาล์มมากขึ้น นอกเหนือจากบริโภคแล้ว ผลผลิตปาล์มส่วนหนึ่งนำไปผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล จึงไม่เพียงพอ
ขณะเดียวกัน มาเลเซียได้กำหนดโทษการลักลอบนำมันปาล์มออกนอกประเทศไว้สูงมาก คือหากจับได้จะถูกปรับ กิโลกรัมละ 2 หมื่นบาท
จากการตรวจสอบราคาน้ำมันปาล์มในประเทศมาเลเซีย พบว่า ขณะนี้หากคิดเป็นเงินไทย อยู่ที่ตันละประมาณ 3.3 หมื่นบาท ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มของไทยอยู่ที่ตันละ 3.1 หมื่นบาท ซึ่งมีส่วนต่างต่อตันประมาณ 3 พันบาท ซึ่งส่วนต่างของราคาในขณะนี้ไม่จูงใจให้กับกลุ่มผู้ลักลอบค้าน้ำมันปาล์มหนีภาษีตามแนวพรมแดนไทย-มาเลเซีย เพราะไม่คุ้มกับการเสี่ยง ซึ่งหากถูกจับกุมไม่ว่าจะในเขตมาเลเซียหรือในเขตไทยจะมีอัตราโทษที่สูง
ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ปริมาณการลักลอบน้ำเข้าน้ำมันปาล์ม ตามแนวพรมแดนไทย-มาเลเซีย ลดลงเป็นอย่างมาก โดยเดือนที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จับกุมได้ประมาณ 4-5 ตัน จากสมัยก่อนที่ยังไม่เกิดวิกฤตน้ำมันปาล์ม ซึ่งสามารถจับกุมได้ประมาณ 200-300 ตันต่อเดือน
ปัจจัยที่เป็นดัชนีชี้วัดได้ดีที่สุดว่า มีการลักลอบขนน้ำมันปาล์มเข้ามามากหรือน้อย คือ ดูจากราคาผลผลิตปาล์มดิบภายในประเทศ ซึ่งขณะนี้ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 6.30-6.40 บาท ซึ่งในรอบ 30 ปี ราคาปาล์มไม่เคยสูงถึงขณะนี้ อย่างดีจะอยู่ที่ 1-2 บาทต่อกิโลกรัม เท่านั้น
ดังนั้น ถ้าหากมีการทะลักของน้ำมันปาล์มเข้ามาในตลาดไทยเป็นจำนวนมากจริง จะทำให้ราคาขายผลปาล์มดิบของไทยต่ำลงไปด้วย แต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้กลับตรงกันข้าม อย่างไรก็ตามแม้จะสามารถควบคุมได้แต่จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์น้ำมันปาล์มต่อไปในอีก 1-2 เดือนว่าจะเป็นอย่างไรเพื ่อหามาตรการป้องกัน
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 ยังกล่าวถึงสถานการณ์การลักลอบค้าน้ำมันเบนซิลและดีเซลแถบชายแดนไทยมาเลเซียว่า ยอดการลักลอบนำเข้าน้ำมันทั้งสองชนิดลดลงกว่า 50% เป็นผลมาจากฝ่ายไทยมีมาตรการขั้นเด็ดขาด ในการจัดการกับกลุ่มผู้ลักลอบค้าน้ำมันทั้งยึดรถ และควบคุมตัวผู้ต้องหาดำเนินคดี
โดยในรอบเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีสถิติการจับกุมน้ำมันทั้งสองชนิดอยู่ที่ประมาณ 7 หมื่นลิตร ได้ผู้ต้องหาราว 200 ราย ซึ่งล้วนเป็นผู้ค้ารายย่อยที่ลักลอบขนน้ำมันไม่เกิน 1 พันลิตร โดยเฉพาะด่านพรมแดนพื้นที่ จ.สงขลา และสตูล จะมีการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนกันมาก ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้มั่นใจว่าเอาอยู่