นครศรีธรรมราช - "เกตุชาติ" ทุ่ม 80 ล้านผุดโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มแห่งแรก ของเมืองนครฯสกัดผลผลิตกว่า 50,000 ไร่ เพื่อจำหน่ายต่อยังจังหวัดใกล้เคียง ขณะที่ก.เกษตรและสหกรณ์เล็งภาคใต้-ตะวันออกขยายพื้นที่ปลูกปาล์ม 500,000 ไร่ รองรับความต้องการของตลาดที่มีมาก
ดร.กณพ เกตุชาติ ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ในจังหวัดนครศรีธรรมราชมีพื้นที่ปลูกปาล์มแล้วกว่า 50,000 ไร่ มีผู้ประกอบการลานเทรับซื้อผลปาล์มกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ประมาณ 30 ราย แต่ทั้งหมดจะต้องนำผลปาล์มไปจำหน่ายต่อให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มใน จ.กระบี่ และสุราษฏร์ธานี ซึ่งระยะทางในการขนส่งเกือบ 150 กิโลเมตร ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งเป็นจำนวนมาก และยิ่งในช่วงที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น ทำให้ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าขนส่งเพิ่มมากขึ้น
ตนจึงตัดสินใจที่จะสร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ในท้องที่บ้านหมน ต.ท่าเรือ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อแก้ปัญหาเรื่องค่าขนส่งและรองรับปริมาณปาล์มสดของเกษตรกร ที่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้น เพราะได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลอย่างจริงจัง ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณดำเนินการก่อสร้างโรงงานสกัดน้ำมันดิบปาล์มประมาณ 80 ล้านบาท และก่อสร้างแล้วเสร็จเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2551 นี้
ดร.กณพ กล่าวต่อไปอีกว่า โรงงานจะจัดทีมนักวิชาการและผู้ที่มีประสบการณ์ในการปลูกปาล์ม ที่ประสบความสำเร็จออกแนะนำ ช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกปาล์มทุกรายทั่วจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย โดยหวังให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มรายใหม่ประสบความสำเร็จได้รับผลผลิตอย่างเต็มที่ ซึ่งเชื่อว่าการปลูกปาล์มจะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจและอาชีพที่สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเป็นอันดับหนึ่ง แซงหน้าสวนยางพาราภายใน1-2 ปีนี้อย่างแน่นอน
นายอภิชาติ จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกต้นปาล์มน้ำมันให้ได้ปีละ 500,000 ไร่ จากเป้าหมาย 2.5 ล้านไร่ ตามแผนยุทธศาสตร์ปาล์มน้ำมัน 5 ปี หรือระหว่างปี 2551-2555 รวมทั้งเร่งปลูกปาล์มน้ำมันทดแทนในพื้นที่เก่าอีกปีละ 100,000 ไร่ รวม 500,000 ไร่ ซึ่งขณะนี้มีปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิตแล้ว 2 ล้านไร่ โดยแปรรูปเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 860,000 ตัน ประกอบกับปัจจุบันมีการใช้ไบโอดีเซลเป็นส่วนผสมในน้ำมันร้อยละ 2 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ดังนั้น ในปี 2555ไทยต้องปรับสัดส่วนการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลเพิ่ม เป็นร้อยละ 5 คาดว่าความต้องการใช้ไบโอดีเซล ณ ตอนนั้นจะอยู่ที่ 2.5 ล้านลิตรต่อวัน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเร่งวิจัยหาพันธุ์ปาล์มน้ำมัน ที่ให้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี โดยได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายในภาคใต้และภาคตะวันออก ที่เป็นพื้นที่รกร้าง เสื่อมโทรม และมีดินเปรี้ยวอยู่มาก ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ป่าด้วย
ดร.กณพ เกตุชาติ ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ในจังหวัดนครศรีธรรมราชมีพื้นที่ปลูกปาล์มแล้วกว่า 50,000 ไร่ มีผู้ประกอบการลานเทรับซื้อผลปาล์มกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ประมาณ 30 ราย แต่ทั้งหมดจะต้องนำผลปาล์มไปจำหน่ายต่อให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มใน จ.กระบี่ และสุราษฏร์ธานี ซึ่งระยะทางในการขนส่งเกือบ 150 กิโลเมตร ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งเป็นจำนวนมาก และยิ่งในช่วงที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น ทำให้ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าขนส่งเพิ่มมากขึ้น
ตนจึงตัดสินใจที่จะสร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ในท้องที่บ้านหมน ต.ท่าเรือ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อแก้ปัญหาเรื่องค่าขนส่งและรองรับปริมาณปาล์มสดของเกษตรกร ที่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้น เพราะได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลอย่างจริงจัง ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณดำเนินการก่อสร้างโรงงานสกัดน้ำมันดิบปาล์มประมาณ 80 ล้านบาท และก่อสร้างแล้วเสร็จเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2551 นี้
ดร.กณพ กล่าวต่อไปอีกว่า โรงงานจะจัดทีมนักวิชาการและผู้ที่มีประสบการณ์ในการปลูกปาล์ม ที่ประสบความสำเร็จออกแนะนำ ช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกปาล์มทุกรายทั่วจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย โดยหวังให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มรายใหม่ประสบความสำเร็จได้รับผลผลิตอย่างเต็มที่ ซึ่งเชื่อว่าการปลูกปาล์มจะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจและอาชีพที่สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเป็นอันดับหนึ่ง แซงหน้าสวนยางพาราภายใน1-2 ปีนี้อย่างแน่นอน
นายอภิชาติ จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกต้นปาล์มน้ำมันให้ได้ปีละ 500,000 ไร่ จากเป้าหมาย 2.5 ล้านไร่ ตามแผนยุทธศาสตร์ปาล์มน้ำมัน 5 ปี หรือระหว่างปี 2551-2555 รวมทั้งเร่งปลูกปาล์มน้ำมันทดแทนในพื้นที่เก่าอีกปีละ 100,000 ไร่ รวม 500,000 ไร่ ซึ่งขณะนี้มีปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิตแล้ว 2 ล้านไร่ โดยแปรรูปเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 860,000 ตัน ประกอบกับปัจจุบันมีการใช้ไบโอดีเซลเป็นส่วนผสมในน้ำมันร้อยละ 2 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ดังนั้น ในปี 2555ไทยต้องปรับสัดส่วนการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลเพิ่ม เป็นร้อยละ 5 คาดว่าความต้องการใช้ไบโอดีเซล ณ ตอนนั้นจะอยู่ที่ 2.5 ล้านลิตรต่อวัน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเร่งวิจัยหาพันธุ์ปาล์มน้ำมัน ที่ให้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี โดยได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายในภาคใต้และภาคตะวันออก ที่เป็นพื้นที่รกร้าง เสื่อมโทรม และมีดินเปรี้ยวอยู่มาก ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ป่าด้วย
