นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า การจัดงาน "มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน" ครั้งที่ 5 จ.สงขลา ถือเป็นการจัดงานต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 5 เพื่อช่วยเหลือและส่งเสริมการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน และเปิดโอกาสให้ประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคใต้ สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือของภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม ตามนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้ ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ตระหนักถึงปัญหาหนี้ของภาคประชาชน จึงได้กำหนดให้การแก้ไขหนี้เป็นวาระแห่งชาติ
ทั้งนี้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปัญหาโควิด-19 ปัญหาความขัดแย้งในยุโรป ส่งผลต่อต้นทุนพลังงาน ต้นทุนการเงิน พุ่งสูงขึ้น นำมาซึ่งปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้เกิดหนี้ครัวเรือน และหนี้ภาคประชาชนพุ่งสูงขึ้นถึง 89% รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้ และเป็นภารกิจของกระทรวงการคลัง และสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหนี้ โดยมีทั้งสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 7 แห่ง และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีข้อตกลงที่จะร่วมมือกันแก้ไขหนี้ ประนอมหนี้ให้ประชาชนหลุดพ้นจากกับดักหนี้
สำหรับการจัดงาน "มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ฯ" ครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ โดยการจัดงานในครั้งนี้เป็นความร่วมมือของ 4 สถาบันการเงิน ประกอบด้วย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยผลของการจัดงาน "มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ฯ" ครั้งที่ 5 ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ได้รับความสนใจจากประชาชนและผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยมีจำนวนผู้สนใจขอรับบริการภายในงานมากกว่า 5,700 ราย
นายอาคม กล่าวว่า การแก้หนี้ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง แม้ไม่มีการจัดงานมหกรรมก็สามารถเข้าไปปรึกษาแก้หนี้ที่สาขาต่าง ๆ ของสถาบันการเงินของรัฐและเอกชนได้ นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือขยายผลการแก้หนี้ลงไปเฉพาะกลุ่ม โดยร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการแก้หนี้สินครู กระทรวงแรงงานช่วยเหลือหนี้ให้กับกลุ่มแรงงาน
"นโยบายของรัฐบาลต้องการช่วยเหลือประชาชนที่มีหนี้และหาทางออกไม่ได้ แม้ว่าสถิติของหนี้สินครัวเรือน ทั้งประเทศอยู่ที่ 89% ของจีดีพีและการมีโครงการมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ฯ ลดสัดส่วนหนี้ลงมาได้เล็กน้อยเท่านั้น เพราะการแก้ไขไม่ได้ทำให้หนี้หมดไป เพียงแต่เป็นหนี้สินที่จัดการได้ เพราะก่อนหน้านี้ประชาชน ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ไม่มีรายได้เข้ามา เพราะประสบปัญหาโควิด-19 ปัญหาเงินเฟ้อ ข้าวของแพง ราคาพลังงานปรับขึ้น ซึ่งการเข้ามาร่วมโครงการแก้หนี้ จึงมีทั้งการช่วยเหลือ พักชำระหนี้ ปรับวงเงิน ปรับงวด ลดต้นลดดอกเบี้ยหรือลดกำไรสำหรับลูกหนี้ไอแบงก์ ยืดระยะเวลาการชำระหนี้ เพื่อประคับประคองให้กับประชาชน พอเข้าสู่ช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวก็สามารถชำระหนี้ได้ต่อ รวมถึงการเติมทุนให้สามารถเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจได้ต่อไป"