“ขนมลาดูโมทกะที่เป็นหนึ่งในที่พระพิฆเนศท่านทรงถืออยู่ตลอดเวลา มันเป็นนัยที่แสดงถึงเรื่องของความสุข ความรื่นรมย์ในชีวิต เพราะฉะนั้นการถวายขนมเราก็จะได้เสริมในเรื่องที่กล่าวในชีวิตเราด้วย ทางพราหมณ์เชื่อว่าถ้าเรามีความสุขแล้วเดี๋ยวปัญญาก็จะเกิดเอง”
การทำขนมถวายแด่องค์เทพในทางฮินดู โดยผู้ศรัทธาเพื่อส่งต่อสู่คนที่มีความศรัทธาเหมือนกัน นี่คือความตั้งใจ ที่กลายมาเป็น
“ธุรกิจ” ร้านขนมเพื่อการบูชาเทพที่ “คุณนุช-กัญญาภัค ภัททิยกุล”เน้นเป็นหลักโดยเฉพาะก็คือองค์ “พระพิฆเนศ”เทพแห่งปัญญาและความสำเร็จ ซึ่งเชื่อว่ามีหลาย ๆ คนต่างก็เคยขอพรจากท่านเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตามที่ตั้งใจเอาไว้ และเธอผู้นี้ที่นอกจากได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งใน “สาวก” ที่เปี่ยมด้วยความศรัทธาและการปฏิบัติบูชาองค์เทพก็ทำมาอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องแล้ว การทำหน้าที่เป็นผู้ส่งต่อความศรัทธานี้แนะแนวทางที่ถูกต้องตามหลักของการบูชา เพื่อช่วยให้คนที่มีความศรัทธาได้ขอพรอย่างสัมฤทธิ์ผลดังใจ เป็นความเชื่อที่ตั้งอยู่บนหลักความเป็นจริง คุณนุชบอกด้วยทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะว่า มนุษย์ทำ 80% เทพช่วย 20% และธุรกิจนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า “เทวะบันดาล” เพื่อให้เธอนั้นได้ทำหน้าที่ตามความตั้งใจ
“ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีเศรษฐกิจแย่ สิ่งที่คนมองหาและจะเกิดขึ้นแน่ ๆ ก็คือธุรกิจของความเชื่อ อย่างเงี้ยนะคะ แต่จากนั้นพอเศรษฐกิจดีแล้วมันก็จะเป็นสิ่งที่ เสริมทัพแล้วว่าทำยังไงจะยิ่งดีไปกว่าเดิม อย่างเงี้ยค่ะ มันก็เป็นว่า ทำให้เกิดธุรกิจนี้ขึ้นมา”
“เทวะบันดาล” หนุนนำทำให้เกิดธุรกิจนี้!
คุณนุช เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันตนเองยังคงทำงานประจำอยู่ ตำแหน่งเลขาฯ ของผู้บริหารในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง แต่ว่าด้วยความที่ตั้งแต่เด็กมาคือจะเป็นคนบูชาเทพ โดยมีความใกล้ชิดกับคุณลุงซึ่งท่านเป็น “ซินแส” ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาชีวิตก็จะอยู่กับเทวรูป ในห้องพระใหญ่ ก็จะมีเทวรูปต่าง ๆ อย่างเช่น สมเด็จโตฯ พระพุทธรูป แล้วลุงซินแสท่านก็จะสอนว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีองค์เทพในบ้าน เราจะต้องดูแลถวายเครื่องบูชา ให้อย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็จะไม่ดี ดังนั้นก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ติดตัวมากับคำสอนของลุงซินแสตั้งแต่เด็ก แล้วหลังจากนั้นพอโตขึ้นถอยกลับไปเมื่อช่วง 5-6 ปีที่แล้ว ก็ได้ไปเรียนด้านโหราศาสตร์มาด้วย ซึ่งจากตรงนี้เองก็จะมีหลาย ๆ จุดที่(จากการเรียนหลาย ๆ สาขา) ทำให้รู้ว่าดวงแบบนี้ถวายเกี่ยวข้องกับองค์เทพอะไร อย่างไร เหล่านี้เป็นต้น รวมทั้งมาดูดวงของตัวเองด้วย ถ้าทำขนมถวายองค์เทพ ดวงแบบนี้ทำได้แล้วก็มีอาจารย์ที่สอนก็ช่วยการันตีให้ว่า ดวงแบบนี้เนี่ยแหละที่จะทำ ขนมถวายองค์เทพแล้วทำได้ดี ก็เลยทำให้มีความมั่นใจ ซึ่งก็จะเป็นสเต็ปมาเรื่อย ๆ แบบนี้ก่อนจนกระทั่ง จุดที่สำคัญที่สุดเลยก็คือว่า ต้องขอจากพระองค์ท่านว่า “ถ้าอยากให้หนูทำขนมจำหน่ายกับบุคคลทั่ว ๆ ไป หนูก็ขอให้ท่านประทานงบประมาณมาให้หนู” เพื่อเป็นการconfirm สุดท้ายแล้วว่าท่านจะให้เราทำธุรกิจนี้จริง ๆ ก็ปรากฏว่า ถูกล็อตเตอรี่! หมื่นกว่าบาท ก็เป็นเงินตั้งต้นในการลงทุนของการทำขนม “เทวะบันดาล” ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็เลยต้องชื่อ “เทวะบันดาล” เพราะเหมือนองค์เทพประทานให้
ทำขนมถวายทวยเทพ โดยผู้ศรัทธาเพื่อส่งต่อสู่ “สาวก”
“คือพระพิฆเนศเลยเนี่ยก็เป็นเรื่องของการ ขจัดอุปสรรค และก็เรื่องของการอำนวยความสำเร็จ ให้กับคนที่ศรัทธา อย่างพระศิวะท่านซึ่งเป็นตำนาน “เทวะตำนาน” ที่เล่ากล่าวขานกันมาตั้งแต่อดีตว่า ท่านได้ให้พรกับคนที่บูชาเทพว่า ทุกครั้งที่บูชาองค์เทพพระองค์ใดก็ตาม ถ้าบูชาพระพิฆเนศก่อน สิ่งที่ขอนั้นจะสำเร็จผล หรือแม้กระทั่งพระแม่ปวารวตี หรือพระแม่อุมา ที่เป็นพระแม่ของพระพิฆเนศ ท่านก็อวยพรคนที่บูชาพระพิฆเนศว่า ทุกขึ้นและแรม4 ค่ำ ถ้าได้ถวายขนมลาดูโมทกะให้กับพระพิฆเนศ พรที่ขอก็จะสำเร็จ อะไรทำนองนี้ ก็จะเป็นเรื่องของเทวะตำนานที่มาเรื่อย ๆ อย่างเงี้ยนะคะ”
สำหรับขนมที่ร้าน ก็คือจะเน้นเป็นเรื่องของพระพิฆเนศเป็นหลัก รวมทั้งยังมี พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี ก็คือเป็นองค์เทพทางฮินดู ซึ่งจะมีสำหรับการบูชาไว้ให้ทุกพระองค์ ขนมที่ทำก็จะใช้วัตถุดิบที่คัดสรรแบบ “พรีเมียม” เข้ามา อย่างเนยกี ก็ต้องเป็นเนยกีที่นำเข้าจากอินเดีย เทสต์มาหลายยี่ห้อมากจนกระทั่งได้แบบที่ทำขนมออกมาแล้ว “หอมที่สุด” ซึ่งก็จะมีเทคนิคอยู่ในการทำเพราะว่าบางอย่างมันก็อาจจะไม่เข้ากันด้วย แล้วก็อย่าง แป้งก็คือจะต้องเป็นแป้งถั่วลูกไก่ หรือแป้ง Besan ที่ใช้ทำขนมลาดูโมทกะโดยเฉพาะ ส่วนในการทำก็จะใช้กระบวนการแบบดั้งเดิมก็คือ เป็นการคั่วผ่านความร้อน ซึ่งตรงนี้ก็จะเป็นเทคนิคว่า คั่วอย่างไรให้อร่อย เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองมา หมดแป้งไปก็หลายกิโลในช่วงแรก ๆ ของการเรียนรู้ว่าทำอย่างให้อร่อย เพราะสิ่งที่ยากที่สุดในการทำขนมลาดูโมทกะก็คือ ทำให้อร่อยเนี่ยแหละ ที่ยากที่สุด
การปฏิบัติบูชาที่ถึงพร้อมแล้ว “ปีติ” ที่เกิดจะเป็นตัวบ่งบอกเราเอง
“เอาง่าย ๆ เราทานอะไรก็ตาม ถ้าเราชอบ มันต้องอร่อย องค์เทพท่านเราถวายให้ท่านเสวยขนมชนิดนั้น ท่านก็ต้องเสวยทิพย์หรืออะไรยังไง เพราะฉะนั้นถ้าเราทำไม่ดีหรือคุณภาพไม่ดี รสชาติไม่อร่อย เขาเรียกว่าอะไรล่ะในการขอพรของคุณลูกค้า ก็ลองมองย้อนกลับไปว่า ถ้าท่านได้เสวยขนมอร่อย ๆ ท่านก็ต้องโปรดมาก โอกาสที่ความสำเร็จจะเกิดขึ้น ก็จะยิ่งมีโอกาสมากขึ้นอีกนะ! อะไรอย่างนี้นะคะ นุชมองอย่างนี้ อย่างคนไทยเราเวลาถวายของให้พระ พระพุทธรูป หรืออะไร ของมงคลอะไรต่าง ๆ แล้วมักจะลามาทานเป็นสิริมงคล ขนมของทางฮินดูก็เช่นกัน ก็คือถวายองค์เทพแล้ว เราจะลามาเพื่อเป็นสิริมงคล ทานเป็นยา ทานเป็นสิริมงคล อะไรแบบนี้เพื่อเป็นเคล็ดต่าง ๆ เนี่ย ถ้าเกิดว่าคุณลูกค้าที่ศรัทธาถวายแล้ว ปรากฏว่าขนมที่ลามาทาน ทานไม่ได้! สิ่งที่เรียกว่าอะไรล่ะ ความชื่นใจ ความสุขใจ ความรื่นรมย์ในการที่แบบ เราเกิดปีติในใจ ว่าเราได้ถวายของดีให้ท่านแล้ว แต่พอเรามาทานปุ๊บ อุ้ย! รสชาติบางทีมันคายทิ้ง มันคนละทิศทางอย่างเงี้ยนะคะ แต่ว่าถ้าลามาทานแล้ว ทานแล้วอื้ออร่อย! สิ่งที่เราขอพร เหมือนกับได้รับพลังเนาะอย่างเงี้ยค่ะ”
คุณนุช เล่าให้ฟังด้วย คนส่วนน้อยที่จะรู้ว่าการบูชาพระพิฆเนศใช้ “ขนมลาดูโมทกะ” โดยสังเกตได้จาก เทวรูปของพระองค์ท่านแต่ละปาง ส่วนใหญ่ท่านจะถือขนมไว้ที่พระหัตถ์ซ้ายซึ่งก็คือ “ขนมลาดู” หรือ “โมทกะ” แต่ว่าคนที่ศรัทธาท่านในประเทศไทยยังมีจำนวนไม่มากเท่าไรที่ทราบว่า อยากจะถวายเครื่องบูชาท่านก็ใช้ “ขนมลาดูโมทกะ” เพราะว่าอย่างบางทีก็จะมี ถวายท่านเป็นนม เป็นผลไม้ หรือว่าบางทีก็มีขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ที่เป็นขนมมงคลทางไทย ซึ่งจริง ๆ แล้วขนมไทยเหล่านี้จะมีส่วนผสมของ “ไข่ไก่” อยู่ ซึ่งจะไม่นิยมมาถวายองค์เทพทางฮินดู เพราะท่านไม่เสวยไข่ไก่
“ลาดูโมทกะ” ทำตามแบบดั้งเดิม ถวายคู่กันโดยเน้นตามกำลังเป็นหลัก
“อย่างในการทำขนมลาดูโมทกะ นุชจะใช้กระบวนการดั้งเดิมในการทำขนมก็คือ คั่วแป้งผ่านความร้อนจนสุก ซึ่งในการทำนุชก็จะใช้เนยกี เนยกีถือว่าเป็นหนึ่งในน้ำปัญจะอมฤตที่พระองค์เทพทรงโปรด มาใช้ในการทำขนม จากนั้นพอแป้งสุกแล้วก็มาผสมส่วนผสม ใส่น้ำตาลใส่นม อย่างนมก็เป็นหนึ่งในน้ำปัญจะอมฤตเช่นกัน ก็คือเป็นขนมที่ทำมาเพื่อถวายองค์เทพเลยโดยเฉพาะ”
หลักในการถวาย จะมีลูกค้าสอบถามเข้ามาเยอะเหมือนกันว่า จะถวายขนมกี่ลูกดี สำหรับตนเองคือแล้วแต่ “กำลัง” ของผู้ศรัทธาเลย จะมากจะน้อยไม่เป็นปัญหา ไม่มีอะไรที่ผิด คือทุกอย่างถ้าตามกำลังไม่เดือดร้อน จะ3 ลูก9 ลูก18 ลูกหรือ199 ลูก ก็คือตามที่เราสะดวกเลย “คือทุกอย่างมันไม่ใช่ว่า ยิ่งมากก็จะต้องได้มาก ไม่เกี่ยว อยู่ที่กำลังและการที่ไม่เดือดร้อน”
ความตั้งใจจริงที่นำมาสู่...“ความเชื่อมั่น” จากลูกค้า
คุณนุช บอกด้วย ในส่วนของตนเองที่เรียนโหราศาสตร์มา เพราะฉะนั้น “สูตร” นอกจากขนมที่ทำก็ต้องอร่อยแล้ว ก็คือจะใช้ “เลขมงคล” ตามหลักโหราศาสตร์ของแต่ละขั้นตอนในเรื่องของสูตรทำขนม บางจุดอาจจะเป็นในเรื่องของการสื่อสารกับองค์เทพ แล้วก็ในเรื่องเสริมการเงินการงาน อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นจุดที่แตกต่างจากที่อื่น แล้วก็ทุกขั้นตอนจะบูชาเพื่อขอบารมีจากพระพิฆเนศก่อนเสมอ และในระหว่างที่ทำก็สวดพระคาถาไปด้วย ก็คือเป็นการทำโดยผู้ศรัทธาส่งต่อให้ผู้ศรัทธา มันก็อาจจะแตกต่างจากการทำขนมทั่ว ๆ ไป และก็มีความเชื่อมั่นจากลูกค้าผู้ศรัทธาด้วย ว่าตนเองเป็นคนที่ทำจริงนะ
จากเริ่มต้นเลย ทางเทวะบันดาลเกิดจากการขาย “ขนมลาดูโมทกะ”3 ลูก ต่อ1 ออร์เดอ เพราะฉะนั้นหลัง ๆ ที่มีลูกค้าเยอะแล้ว เหมือนกับลูกค้ามีความมั่นใจในที่ร้านแล้วก็มักจะสั่งแบบ 9 ลูก เป็นต้นไป 9 ลูก 18 ลูก หรือบางคน 199 ลูก ต่อ1 ครั้ง แต่ว่าที่ร้านเองก็ยังคง 3 ลูกไว้เสมอ เพราะยังเชื่อว่ากำลังคนไม่เท่ากัน จุดเริ่มต้นบางคนอาจจะต้องการถวายทุกสัปดาห์ เช่น สัปดาห์ละ 3 ลูก ซึ่งก็แล้วแต่ว่าลูกค้าสะดวกแบบไหน เพราะฉะนั้นก็จะเริ่มต้นที่3 ลูก ถ้าปิดทองก็จะ 59 บาท/กล่อง แต่ถ้าไม่ปิดทองราคาก็ลดลงมาเหลืออยู่ที่ 49 บาท
“ถ้าสั่งเข้ามาทางชอปปี้หรือลาซาด้าอย่างเงี้ยนะคะ ประมาณสั่งวันนี้ไม่เกิน 2 วัน นุชจะส่งออกจากทางร้าน ส่วนใหญ่วันรุ่งขึ้นจะส่งออกเลย ยกเว้นว่าอากาศมันชื้นมากแล้วขนมยังเซ็ตตัวไม่ดี ยังส่งออกไม่ได้ แต่ไม่เกิน 2 วันหลังจากที่คุณลูกค้าสั่ง ก็คือว่าเราทำขนมไม่ค้างสต็อก เพื่อให้ถึงมือคุณลูกค้าเป็นขนมที่ใหม่ที่สุด สดที่สุด”
ซึ่งปัจจุบันที่ร้านจะมีออร์เดอเข้ามาทุกวัน แต่ว่าหากตรงกับช่วงที่เป็นเทศกาลใหญ่ ๆ อย่าง เทศกาลคเณศจตุรถี ในช่วงที่ผ่านมา 31 สิงหาคม-9 กันยายน สำหรับปี 2565 ก็มีออร์เดอเข้ามาเยอะมาก รวมทั้งช่วงต้นปีที่เขาเรียกว่า เทศกาลคเณศชยันตี ช่วงนั้นก็ออร์เดอเข้ามาเยอะ หลังจากนั้นก็จะเป็นการไหว้แล้วแต่ที่ลูกค้าสะดวก
มนุษย์ทำ 80% เทพช่วย 20% ความเชื่อบนหลักของ “ความเป็นจริง”
“จากที่ก่อนเทศกาลคเณศฯ ที่เปิดตัวไป ก็ยังไม่มีใครรู้จัก ก็ได้จากขนม3 ลูกไม่กี่กล่องเท่านั้นเองค่ะ แต่ว่าพอเหมือนเข้าเทศกาลปุ๊บ ทุกอย่างมันพรั่งพรูจนนุชก็ตั้งตัวไม่ถูกเหมือนกัน เพราะเหมือนกับเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่ผู้ศรัทธา เขาจะเปิดโอกาสให้กับหน้าใหม่ ๆ ในวงการเนาะนุชมองว่าอย่างนี้ เพราะว่าทุกคนต้องการขนมแล้วก็จะเปิดโอกาสให้กับ ร้านที่เพิ่งเกิดว่าง่าย ๆ แล้วพอผ่านช่วงเทศกาลไป มันก็กลายเป็นเหมือนกับยอดมันคูณสอง ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ จนนุชพีคสุดคือ ไปเกือบ ๆ 2 แสน/เดือน แล้วพอหลังจากเทศกาลมามันก็ลดลงมาเป็นปกติอย่างเงี้ยนะคะ ก็หลักหลายหมื่นอยู่ค่ะ”
เจ้าของร้าน “เทวะบันดาล” บอกว่า ส่วนหนึ่งทางร้านเองดูแลลูกค้าทุกคน อย่างตนเองถือว่าดูแลแบบให้ดีที่สุด ไม่เหมือนคนค้าขาย เช่นอย่างสมมุติว่าขนมที่ส่งไป แล้วกล่องมันอาจจะพังซึ่งพวกนี้ทางผู้ให้บริการส่งเขาจะไม่ได้เคลมให้ ก็คือแล้วแต่ถ้าพังก็คือพัง ทางร้านก็คือพร้อมซับพอร์ตทุกอย่าง หรือบางทีการส่งช้า ของอยู่ไหนก็ไม่รู้ แต่ว่ายังไม่ถึงมือลูกค้าซึ่งลูกค้าแจ้งมาที่ร้าน ไม่เป็นไร เดี๋ยวส่งกล่องใหม่ไปให้ แล้วส่วนที่ยังมาไม่ถึงก็ไม่เป็นไรถ้าลูกค้าได้รับของที่มาถึงหรือเขามาส่งให้แล้ว ก็รับเอาไว้ แต่ว่าของใหม่จะส่งให้ลูกค้าเลยจากทางร้าน เพราะตนเองมีความเชื่อว่าทุกคนอยากได้ขนมที่ดีที่สุด ใหม่ที่สุด เพื่อถวายท่าน ซึ่งตนเองก็อยากจะส่งต่อให้ลูกค้าได้ถวายขนมที่อยู่ในสภาพที่สวยงาม และก็มีความสดใหม่ให้กับเขาได้ถวาย และด้วยความที่เป็นแบบนี้ก็ทำให้เกิด “ลูกค้าประจำ” ขึ้นมาเยอะเลย
“ก็อย่างที่นุชจะแชร์กับทุกที่ ที่นุชมีโอกาสได้พูดนะ นุชจะพูดว่าสิ่งที่เราศรัทธาเนี่ย เราจะปฏิบัติตัวอย่างไรกับสิ่งที่เราศรัทธา เราเชื่อสุดโต่งแล้วปฏิบัติแบบ ดูแลท่านเขาเรียกว่าอะไรนะ สุดโต่งไปจนเดือดร้อนตัวเราเอง อย่างเงี้ยมันไม่โอเค เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรจะปฏิบัติควรที่จะทำ หนึ่งก็คืออยู่บนความพอดี มีสติ แล้วก็อย่าทิ้งในเรื่องของทางสายพุทธศาสนา เพราะตัวนุชเชื่อว่าการปฏิบัติบูชาเนี่ย อยู่กับทาน ศีล ภาวนา มันเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้าง บุญบารมี ให้กับผู้ศรัทธาที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้นทุกอย่างควบคู่กันไปกับสิ่งที่เขาศรัทธา แล้วเขาก็ทำบุญบารมีให้ตัวเราเองด้วย ก็คือในเรื่องของทำทานอย่างสม่ำเสมอนะ แล้วก็รักษาศีลอยู่สม่ำเสมอ แล้วก็สวดมนต์ นั่งสมาธิ แล้วก็อุทิศบุญ อย่างเงี้ยค่ะ มันจะอยู่อย่างมีสติ แล้วก็ดำเนินชีวิตได้อย่างไม่เดือดร้อนตัวเราเอง”
โดยตนเองเชื่อว่า มนุษย์ทำ 80% อีก 20% เป็นการซับพอร์ตจากองค์เทพ ที่เรามีความศรัทธาและเราปฏิบัติกับท่านอย่างสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ศึกษามา สิ่งที่เราสื่อสารออกไป ไปสู่คนที่เขาศรัทธาเหมือนกัน แล้วเรานำทางไปสู่ทิศทางที่ดีกับตัวเขา ไม่ทำให้เขางมงาย ให้เขามีสติแล้วเกิดปัญญาในการใช้ชีวิต รู้สึกว่าน่าจะเป็นทิศทางที่ดีที่สุด ท่ามกลางเศรษฐกิจที่แย่ เพราะว่าเราอาจจะเป็นหนึ่งในเสียงเล็ก ๆ ที่เข้าไปสู่หัวใจของเขาแล้วนำการเปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตเขาให้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นก็จะระมัดระวังในคำพูดและในเรื่องของการสื่อสาร ในเรื่องของปาฏิหาริย์มาก ๆ เพราะว่า บางคนเราอาจจะเป็นความหวังเดียวของเขา แล้วทุกสิ่งที่อย่างที่เขามี เขาทุ่มกับสิ่งที่เขาศรัทธา แต่อันนั้นมันจะต้องมีสติ เพราะว่ามันไม่ได้แปลว่าเขาจะได้ในสิ่งที่เขาคาดหวัง ก็กลับมาที่ว่า “มนุษย์ทำ80% องค์เทพท่านช่วย 20%”เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำมาหากินอย่างเต็มที่ แล้วสิ่งดี ๆ ก็จะหนุนนำเพื่อให้เราประสบความสำเร็จ
สอบถามเพิ่มเติม โทร.080-547-9696
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *