xs
xsm
sm
md
lg

กสศ.เปิดตัว iSEE 2.0 ฐานข้อมูลการศึกษา หนุนสตาร์ทอัพนำไปใช้ออกแบบธุรกิจได้ตรงจุด

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
กสศ.เปิดตัวระบบ iSEE 2.0 ฐานข้อมูลเอ็กซเรย์ทุกพื้นที่ประเทศไทย ตัวช่วยด้านนวัตกรรมลดความเหลื่อมล้ำการศึกษา พร้อมเปิดให้สตาร์ทอัพ สนใจนำฐานข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ เพื่อการพัฒนาประเทศ ด้าน “กระทิง” พ่อมดสตาร์ทอัพไทย และ “ไอติม” เจ้าของแอปฯStartdee ชี้ ฐานข้อมูล iSEE 2.0 พลังอำนาจช่วยเปลี่ยนชีวิตเด็กไทย และสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา

ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า กสศ.ได้วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (Information System for Equitable Education : iSEE) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (BIG Data) รายบุคคล จากฐานข้อมูลดังกล่าว พบว่า เด็กและเยาวชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสมากกว่า 4 ล้านคน โดยฐานข้อมูลดังกล่าว ได้เชื่อมโยงกับฐานของมูลของ 6 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงงาน และกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงข้อมูลจากระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อที่จะช่วยให้ผู้ทำนโยบาย “มองเห็น” สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำได้ชัดเจนทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

สำหรับ ระบบ iSEE 2.0 จะคัดกรองเด็กเยาวชนทั้งในและนอกระบบการศึกษาอย่างละเอียด โดยการสำรวจตั้งแต่ระดับประเทศ ภูมิภาค จังหวัด อำเภอ ตำบล โรงเรียน จนถึงรายบุคคล ทำให้ติดตามสถานการณ์การศึกษา อัตราการมาเรียน รายได้เฉลี่ยของครัวเรือน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กในอนาคต ฯลฯ เพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือได้เข้าถึงตัวเด็กอย่างทันท่วงที 

“จุดเด่นของระบบ iSEE คือ แสดงข้อมูลสุขภาวะและทุพโภชนาการของเด็กและเยาวชน ข้อมูลสถานะครัวเรือนและสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชน ข้อมูลการเดินทางระหว่างไปโรงเรียน ข้อมูลสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของโรงเรียน และจากการประมวลผลข้อมูลพบปี 2562 มีนักเรียนในระบบการศึกษาหายไปครึ่งหนึ่งหลังจบ ม.3 ยังพบว่า 3 จังหวัด ได้แก่ ตาก กรุงเทพ แม่ฮ่องสอน มีเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษามากที่สุด” รองผู้จัดการ กสศ.กล่าว


ดร.ไกรยส กล่าวว่า กสศ.ต้องการจัดทำระบบ iSEE ให้เป็น user- centered data Visualization Tools หรือนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนในรูปแบบที่ง่ายและสอดคล้องกับการใช้จริงของภาคีเครือข่าย ในการทำให้สังคมไทยมองเห็นเด็กทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ผ่าน 5 เป้าหมายหลัก ประกอบด้วย 1. มีระบบสารสนเทศที่เชื่อมโยงฐานข้อมูลในหลายกระทรวง 2. Virtual Live ข้อมูล ให้เป็น user center design มีการทำกราฟ/ตารางที่ง่ายต่อการใช้งาน เพื่อนำไปแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมได้อย่างง่าย

และ3. ปฏิรูปกระบวนการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เช่น การระดมทุน หรือ การจัดค่ายอาสาพัฒนาชนบท ที่สามารถมองเห็นเด็กหรือโรงเรียนได้ชัดมากที่สุด 4. ขับเคลื่อนทรัพยากรและเครือข่ายในสังคมเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 5. สนับสนุนผู้ที่ต้องการเป็นนักวิจัย start up ผู้ประกอบการทางสังคม และสื่อมวลชน ให้มีพลังในการขับเคลื่อนวาระทางสังคมมากขึ้น




ด้าน นายเรืองโรจน์ พูนผล หรือ “กระทิง" ประธาน กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ในฐานะมือปั้น Startup มือหนึ่งของไทย กล่าวถึง Ed Tech และการขับเคลื่อนสังคมด้วยข้อมูล ว่า จากการที่ตัวเองทำงานด้านสตาร์ทอัพ มาหลายปี และในฐานะผู้ปั้นสตาร์ทอัพในประเทศไทย ทำให้รู้ว่าฐานข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ และเมื่อ กสศ. ได้จัดทำฐานข้อมูล ระบบiSEE 2.0 ไม่ได้ช่วยแค่การลดการเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเท่านั้น แต่ช่วยสตาร์ทอัพสามารถนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลในการออกแบบธุรกิจสตาร์ทอัพของตนเอง เพราะต้องยอมรับปัจจุบันฐานข้อมูลเป็นพลังอำนาจที่ช่วยให้ธุรกิจของเราเดินไปได้ตรงจุด หรือ ตรงเป้าหมาย

พ่อมดวงการสตาร์ทอัพ กล่าวถึงตัวอย่างว่าได้ประโยชน์อะไรจากฐานข้อมูล ที่กสศ.ทำขึ้น ครั้งนี้ โดยยกตัวอย่างจากสถานการณ์โควิด –19 ส่งผลให้เด็กไม่ได้ไปโรงเรียน และจากงานวิจัยจากแมคเคนซียังชี้ให้เห็นว่า จากสถานการณ์ดังกล่าวกระทบต่อจีดีพีสหรัฐ และมีเด็กถึง 4 ล้านคน ที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ Old normal และวันนี้ 4 ล้านคนต้องการความช่วยเหลือ แต่จากสถานการณ์โควิดทำให้เราต้องดิสซัปชั่น และถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี หรือ การมีฐานข้อมูล เราก็จะไม่มีข้อมูลในการเข้าไปช่วยเหลือเด็กทั้ง 4 ล้านคน

“สตาร์ทอัพหลายภาคส่วนถามหาข้อมูลอยู่ไหน ซึ่งการที่ กสศ.สร้างระบบ iSEE ขึ้นมาเหมือนมอบพลังอำนาจแห่งเทคโนโลยีมาให้ ในเมื่อเราจะเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยพลังอำนาจของข้อมูล วันนี้ชวนทุกคน เข้ามาเปลี่ยนแปลงเรื่องการศึกษา เพราะการศึกษาเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ โดยร่วมกันเปลี่ยนแปลงเด็ก 4 ล้านกว่าคน เพื่อให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้โดยเข้าไปในระบบ iSEE” นายเรืองโรจน์ กล่าว

นายเรืองโรจน์ กล่าวว่า ระบบ iSEE เป็นแพลทฟอร์มที่มีชีวิต หากผู้สนใจอยากได้ฟีเจอร์อะไรเพิ่มเติม ก็สามารถเข้ามาร่วมพัฒนากับกสศ.ได้ “ผมการันตีได้เลย ผมลงทุน สตาร์ทอัพ 79 บริษัท แต่กสศ. สร้างระบบนี้ได้เร็วกว่าบางบริษัทด้วยซ้ำ ดังนั้น มาช่วยกันได้ แค่คุณคลิก แชร์ ดาต้านี้นำไปบอกเล่า สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยในแบบของคุณได้แล้ว


นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ "ไอติม” ผู้ก่อตั้ง startdee เน็ตฟลิกซ์แห่งวงการการศึกษาไทย กล่าวว่า สตาร์ทดีต้องขอบคุณ กสศ. เพราะหลายเรื่องต้องตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลของ กสศ. ซึ่งทั้งสตาร์ทดีและกสศ.และ มีเป้าหมายต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

ปัจจุบันเด็กไทยเจอความเหลื่อมล้ำ ประการแรก คุณภาพการเรียนการสอนในแต่ละโรงเรียน ไม่เท่ากันระหว่างหัวเมืองกับชนบท และประการที่สองคือ ช่องทางการเรียนนอกห้องเรียน ก็ถูกปิดกั้นด้วยวัฒนธรรมการเรียนพิเศษที่ราคาค่อนข้างสูง สิ่งที่เล็งเห็น คือ สัดส่วนเด็กไทยที่เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ยังมีไม่มาก

ทั้งนี้ สิ่งที่เราได้จากการนำ ฐานข้อมูลในระบบ iSEE มาใช้ ประการแรก ต้องการรู้ว่าเด็กที่เข้าถึงแอปพลิเคชั่นของสตาร์ดี เป็นเด็กยากจนมากน้อยแค่ไหน เราจึงเอาข้อมูลโรงเรียนของนักเรียนที่มาใช้แอปพลิเคชั่นไปจับคู่กับข้อมูลใน iSEE ดูว่าโรงเรียนนี้มีสัดส่วนเด็กยากจนมากน้อยแค่ไหน พบว่า โรงเรียนที่มีเด็กยากจน 80-100% มีการใช้แอปพลิเคชั่นของเรา ซึ่งตอนนี้อาจจะยังไม่มากประมาณ 20%ในอนาคตอาจจะมากขึ้น จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้เรากลับมาคิดออกแบบ การเรียนรู้ของเราใหม่ ให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายแตกต่างกัน หรือ กรณีที่มีภาคเอกชนที่ต้องการสนับสนุนเรื่องการศึกษา เราสามารถนำข้อมูลในระบบ iSEEมาช่วยให้การแจกทุนการศึกษาได้ตรงกลุ่มมากกว่า

“โดยเราเห็นว่าจังหวะก้าวการทำงานของ กสศ. เร็วกว่าการทำงานของภาครัฐที่เราคุ้นเคย การช่วยลดความเสมอภาคไม่จำเป็นต้องให้สิ่งเดียวกับทุกคน แต่สามารถให้สิ่งที่ดีที่สุดกับทุกคน ซึ่งเครื่องมืออย่างiSEE ช่วยสตาร์ทอัพอย่างสตาร์ทดีให้ไปสู่เป้าหมายจุดนั้นได้” นายพริษฐ์ กล่าว

ด้าน ฐปนีย์ เอียดศรีไชย ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าว 3 มิติ กล่าวว่า จากประสบการณ์ทำงานข่าวที่ผ่านมาได้เจอปัญหาของเด็ก และโรงเรียนที่ยากจน จึงนำเสนอเรื่องราวต่างๆให้คนทั่วไปได้รับรู้ แต่พอมีคนมาถามว่า จะไปบริจาคให้เด็กยากจนที่ไหนได้บ้าง เราก็บอกได้ไม่หมด บอกได้แค่ที่ไปเจอ แต่พอมีฐานข้อมูล iSEE 2.0 ทำให้เราทราบว่า จริงๆแล้ว มีเด็กยากจน และต้องการความช่วยเหลืออีกเป็นจำนวนมาก และคนเหล่านั้น ต้องการให้ภาครัฐ หรือหน่วยงานต่างๆ เข้าไปให้การช่วยเหลือ
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า"SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *

SMEs manager


กำลังโหลดความคิดเห็น