นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตรวจเยี่ยม Tops market ในห้างเซ็นทรัล ตามโครงการความร่วมมือระบายสินค้าเกษตร-ผลไม้กับห้างสรรพสินค้า ที่ Tops market สาขาแจ้งวัฒนะ
ตามโครงการความร่วมมือเชื่อมโยงและกระจายสินค้าเกษตร-ผลไม้เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด ซึ่งมีทั้งวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงปลอดสารพิษเพื่อการส่งออก อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี สหกรณ์ส่งเสริมธุรกิจภาคเกษตร จังหวัดตราด วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกอำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี กลุ่มเกษตรกรอินทรีย์วิถีธรรมชาติ จังหวัดกำแพงเพชร และเกษตรกรจังหวัดนนทบุรี สุโขทัย อุทัยธานี นครปฐม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี ยะลา และอื่นๆ
ทั้งนี้ หลังการตรวจเยี่ยม นายจุรินทร์กล่าวว่า โครงการความร่วมมือนี้เกิดจากนโยบายที่ได้ทำข้อตกลง MOU เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ในทุกห้างสรรพสินค้า โดยหลักการร่วมมือกัน “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” เพื่อร่วมมือกันทำงานให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพจากเกษตรกรและกระทรวงพาณิชย์ช่วยระบายสินค้าทางการเกษตรไปยังตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับระยะเวลานี้ที่จำเป็นต้องเร่งทำเป็นกรณีพิเศษ คือ เรื่องผลไม้ ซึ่งผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดแล้ว จะออกสู่ตลาดมากขึ้นในช่วง 3-4 เดือนถัดจากนี้ไป โดยการเตรียมการเรื่องตลาดผลไม้นั้นได้มีการประชุมร่วมกันกับเกษตรกรชาวสวนผลไม้ ล้ง สหกรณ์การเกษตร กลุ่มสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรผู้ทำผลไม้แปรรูป และผู้ส่งออกร่วมกัน
"แต่ว่าในช่วงที่ผ่านมาเราต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 เกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องปรับแผนงานทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ขณะนี้ โดยได้ข้อสรุปร่วมกันว่าต้องดำเนินการช่วยระบายผลไม้ทั้งในส่วนตลาดออฟไลน์ และตลาดออนไลน์ควบคู่ไปด้วยกัน โดยเฉพาะสำหรับตลาดต่างประเทศขณะนี้ประสบปัญหา เรื่องผลไม้ในภาพรวมเราจะต้องส่งออก สำคัญร้อยละ 60 ต้องปรับมาเป็นตลาดในประเทศ เพื่อช่วยชาวสวนเพิ่มให้มากขึ้น และส่วนของตลาดออนไลน์ในสัปดาห์นี้กระทรวงพาณิชย์จะได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีชื่อเสียงหลายแพลตฟอร์มเพื่อนำผลิตผลของเกษตรกรขึ้นไปบนออนไลน์เพื่อที่จะได้ช่วยเพิ่มช่องทางการขายให้เกษตรกร แต่สำหรับตลาดออฟไลน์นั้น ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเราได้รับความร่วมมืออย่างดีจากตลาดค้าส่งค้าปลีกขนาดใหญ่" นายจุรินทร์กล่าว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า นอกจากนี้ ได้สั่งการให้เตรียมการที่จะนำสหกรณ์การเกษตรที่ผลิตผลไม้ทั่วทั้งประเทศ ที่กระทรวงเกษตรฯ ส่งรายชื่อมาให้มีทั้งหมด 114 สหกรณ์ ด้วยกัน จะต้องประชุมร่วมกันกับพาณิชย์จังหวัด 76 จังหวัดเพื่อให้พาณิชย์จังหวัดไปสำรวจตลาดที่ตนเองรับผิดชอบและทำการสั่งซื้อเพื่อที่จะไประบายในจังหวัดของตัวเอง ช่วยให้ลองกองจากนราธิวาสสามารถขายที่อุบล ที่อีสาน ที่ภาคเหนือ ที่กรุงเทพฯ ได้ช่วยให้มะม่วงจากอีสานจากภาคเหนือมาขายกรุงเทพฯ เป็นต้น สลับกัน โดยพาณิชย์จังหวัดจะเป็นสื่อกลางทำหน้าที่เซลส์แมนจังหวัดขายผลไม้ให้เกษตรกร
นอกจากนี้ การทำ MOU ร่วมกันระหว่างห้างสรรพสินค้า ได้ลงนามร่วมกันที่จะช่วยระบายผลไม้ให้แก่เกษตรกร ซึ่งเราได้รับความร่วมมือจาก ได้แก่ บิ๊กซี โลตัส เดอะมอลล์ แม็คโคร ท็อปส์ มาร์เก็ต โดยได้ทำสัญญา 40 สัญญา ช่วยให้สามารถขายผลไม้จากสหกรณ์การเกษตรทั่วประเทศได้ถึง 16,700 ตัน และมีมูลค่าถึง 762 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับห้างโมเดิร์นเทรดต่างๆ ได้ร่วมกันกำหนดมาตรการบริหารจัดการผลไม้ปี 2563 ออกมา 3 มาตรการ ประกอบด้วย
มาตรการที่ 1 ส่งเสริมการซื้อขายผลไม้ผ่านตลาดข้อตกลง โดยมีการทำข้อตกลงระหว่าง Tops Market/ The Mall / Makro/ Lotus / Big C กับสถาบัน เกษตรกรจากจังหวัดเชียงใหม่ ลําพูน น่าน สุโขทัย ตราด จันทบุรี กว่า 40 สัญญา โดยมีผลไม้ 9 ชนิด ได้แก่ ส้มเขียวหวาน ลําไย ลิ้นจี่ ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง สละ และสับปะรด ปริมาณรวม 16,699.30 ตัน มูลค่ารวมกว่า 761.988 ล้านบาท
มาตรการที่ 2 เพิ่มช่องทางการจัดจําหน่าย โดยจับมือกับบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จํากัด (CPN) จัดพื้นที่โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ให้เกษตรกรจําหน่ายผักและผลไม้ให้แก่ผู้บริโภคโดยตรงผ่านกิจกรรม “ตลาดผลไม้รวมใจ” ระหว่างวันที่ 15-30 เม.ย. 63 โดยมีเซ็นทรัล 5 สาขา (ประกอบด้วย เวสต์เกต / ลาดพร้าว / พระราม 2/พระราม 3/ อีสต์วิลล์) และมีกลุ่มเกษตรกรเข้าร่วม 14 กลุ่ม (พะเยา / อุตรดิตถ์/ พิจิตร / ศรีสะเกษ/ อุดรธานี / ลพบุรี / จันทบุรี/ นครปฐม / ราชบุรี/ สมุทรสาคร / ปทุมธานี / ปัตตานี)
มาตรการที่ 3 มาตรการรณรงค์การบริโภคในประเทศ เชิญชวนให้ประชาชนในประเทศบริโภคผลไม้ไทยตามฤดูกาล คนไทยได้บริโภคผลไม้เกรดส่งออก รสชาติอร่อย ในราคาเหมาะสม
ทั้งนี้ ภายใต้ความร่วมมือการบริหารจัดการผลไม้ปี 2563 และการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ห้างท็อปส์ได้มีมาตรการช่วยเกษตรกรทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ โดยช่องทางออฟไลน์ ท็อปส์รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรและสินค้าเกษตรแปรรูปทั่วประเทศจาก 1,170 ชุมชน 24,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ สินค้าเกษตรกว่า 9,000 รายการ และช่องทางออนไลน์ สามารถสั่งซื้อสินค้าผ่าน www.tops.co.th และแอปพลิเคชัน Grab ครอบคลุมพื้นที่บริการ 41 จังหวัด ซึ่งจากสถานการณ์ COVID-19 พบว่าผู้บริโภคนิยมสั่งซื้อผัก ผลไม้ อาหารสดเพิ่มมากขึ้นผ่านช่องทางออนไลน์