xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) เปิดโรงงานแปรรูปจิ้งหรีดสู่โปรตีนแบบผง “โกลบอล บั๊กส์ เอเชีย ” สองสัญชาติ ไทย-สวีเดน ตีตลาดต่างชาติ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์





จิ้งหรีดเป็นแมลงที่มีโปรตีนสูงมากถึง 75% ซึ่งมากกว่าโปรตีนจากสัตว์ใหญ่อย่างเช่น วัว โดยวัวมีโปรตีนแค่ 30% เพราะฉะนั้น โกลบอล บั๊กส์ เอเชีย จึงเล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ พร้อมทั้งมีจุดประสงค์ในการลดการทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคโปรตีนของมนุษย์ให้มากยิ่งขึ้น

นางสาวกณิศนันท์ ธัญธิติวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท โกลบอล บั๊กส์ เอเชีย จำกัด


นางสาวกณิศนันท์ ธัญธิติวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท โกลบอล บั๊กส์ เอเชีย จำกัด กล่าวว่า บริษัท โกลบอล บั๊กส์ เอเชีย จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2559 โดยบริษัทฯ มีวัตถุประสงค์จะประกอบธุรกิจกิจการวิจัยและพัฒนาโปรตีน ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร โดยนำแมลงต่างๆ มาวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รวบรวมนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาแมลงสำหรับอุตสาหกรรมอาหารที่มีประสบการณ์และผลงานตีพิมพ์วารสารวิชาการเป็นจำนวนมาก รวมถึงจะมีการนำความรู้จากผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศเข้ามาร่วมในงานวิจัยพัฒนา เพื่อให้ได้ผลงานวิจัยที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาในด้านอื่นๆ รวมถึงเป็นกิจการและพัฒนาวัตถุดิบ วัสดุ สูตรและกระบวนการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อาหารและอาหารเสริม




ทั้งนี้เหตุผลที่ทำไมถึงเลือกผลิตโปรตีนจากจิ้งหรีด นาย Stefan Jarlhem International Business Development Director เผยว่า ในขณะนี้คนในโลกตกปลาเล็กมาให้ปลาใหญ่กิน นำมาทำเป็นอาหารสัตว์เพราะฉะนั้นจึงมีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคปลาป่นหรือว่าถั่วเหลือง เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะทำให้สิ่งแวดล้อมแย่ลง ดังนั้นการรับประทานโปรตีนจากจิ้งหรีดจึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการพยายามช่วยเหลือสิ่งแวดล้อม โดยการเปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์ให้หันมากินโปรตีนจากแมลงกันมากขึ้น




ในปี 2050 สถิติของประชากรในโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 9,000 ล้านคน ซึ่งในวันนั้นจะเกิดปัญหาเรื่องการขาดโปรตีนหรือเปรียบเทียบง่ายๆ คือ ในเนื้อสัตว์ประเภท วัว หรือสัตว์ใหญ่มีโปรตีนน้อยกว่าจิ้งหรีด 1 กิโลกรัม ซึ่งวิธีการเลี้ยงดูนั้นส่งผลให้เกิดสภาวะโลกร้อนจำนวนมาก ในจิ้งหรีดมีโปรตีนทั้งหมด 71% สามารถนำมาใช้ได้ 100% ส่วนเนื้อวัวสามารถนำมาใช้ได้แค่ 30% นอกจากนี้สิ่งที่ โกลบอล บั๊กส์ เอเชียนำเสนอนั้นไม่เพียงแค่เสนอให้กับตลาด หรือไม่เพียงแค่รับประทานอย่างเดียว แต่ยังมีการเจาะตลาดอาหารสัตว์อีกด้วย ซึ่งเมื่อนำไปรวมกับแมลงชนิดอื่นหรือสัตว์ชนิดอื่นก็จะสามารถผลิตให้เป็นอาหารสัตว์ทะเลได้อีกด้วย




สำหรับโรงงานในขณะนี้สามารถเลี้ยงจิ้งหรีดได้ปีละ 10 ตันโดยเป็นฟาร์มทดลองแต่ในอนาคตจะมีการขยายเพิ่มเติมซึ่งจะกลายเป็นในส่วนของ Ento Park เพื่อรองรับการเลี้ยงและการผลิตที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะมีการเลี้ยงเป็นแนวตั้งจากเดิมได้แค่ 5 เมตร แต่ในอนาคตจะสามารถสูงได้ถึง 9 เมตร โดยที่ไม่ต้องใช้แรงงานคนแต่จะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในส่วนนี้




ทั้งนี้คาดการณ์ปี 2023 ตลาดที่โตที่สุด คือ ยุโรปตอนเหนือที่ทางบริษัทฯ ส่งออกไปยังประเทศฟินแลนด์ เดนมาร์ก โตประมาณ 20% ตลาดในเอเชียใหญ่มากแต่โตช้ากว่า เนื่องจากยังคงยึดติดอยู่กับแมลงที่เป็นอาหารที่ยังไม่จำเป็นต้องบริโภคขนาดนั้น แต่ทางโกลบอล บั๊กส์ เอเชีย ไม่กังวลในจุดนี้เพราะมีฟาร์มทั้งหมด 20,000 ฟาร์มในประเทศไทยที่รองรับตรงนี้และทางบริษัทฯ จะยังไม่ขายภายในประเทศเพราะต้องการสนับสนุนให้เกษตรกรมีรายได้ ซึ่งวิธีการขายจะเน้นขายส่งออกนอกประเทศ ขายในปริมาณมากส่งให้กับโรงงานต่างๆ และขายในเรื่องของเทคโนโลยีที่คิดค้นขึ้นมาในประเทศไทยเพื่อที่จะขยายออกไป




นอกจากนี้โกลบอล บั๊กส์ เอเชีย ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลสวีเดนและธนาคารของยุโรปให้เงินสนับสนุนการทำโปรเจ็กต์ให้สามารถดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็ว ด้านการระดมทุนทางบริษัทฯ มีผู้ร่วมก่อตั้งและร่วมลงทุนเป็นเงิน 8.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยจะทำในส่วนของโครงการถัดไปคือ Ento Park และโครงการอื่นๆ ที่ต้องใช้เงินลงทุนโดยจะมีการระดมทุนที่ประเทศสิงคโปร์ในเดือนหน้าซึ่งจะมีการเข้าร่วมเจรจาโดยทางบริษัทฯ มีความต้องการเงินลงทุนประมาณ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 120 ล้านบาท




สำหรับการส่งออกไปยังต่างประเทศตัวจิ้งหรีดจะเป็นสายพันธุ์ไทยทั้งหมด โดยการนำเอาไข่ของจิ้งหรีดไปเพาะที่ต่างประเทศ เนื่องจากในตัวจิ้งหรีด 1 ตัวสามารถผลิตไข่ได้ถึง 2,000 ใบ จึงเป็นเรื่องที่ดีในการนำเอาจิ้งหรีดไทยไปแปรรูปในต่างประเทศ โดยสายพันธุ์จิ้งหรีดที่นำมาผลิตนั้นจะเป็นสายพันธุ์จิ้งหรีดขาว หรือสะดิ้ง ซึ่งเป็นจิ้งหรีดที่คนในชุมชนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทั้งนี้การแปรรูปจิ้งหรีดให้กลายเป็นแป้งโดยที่มีโปรตีนสูงนั้นสามารถนำไปผลิตเป็นเส้น พาสต้า หรือแป้งทำขนม และสามารถนำไปประกอบอาหารอย่างอื่นได้อีกด้วย




ทั้งนี้บริษัท โกลบอล บั๊กส์ เอเชีย ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการลงทุน หรือ บีโอไอ ที่ให้การสนับสนุนในเรื่องการพัฒนาการวิจัยและพัฒนาธุรกิจด้านอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อาหารและอาหารเสริมซึ่งมีจุดเด่นคือการพัฒนาโปรตีนผงจากแมลง ซึ่งในปัจจุบันคนส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้ประกอบการอาหารจำนวนมาก เป็นตัวอย่างในการถ่ายทอดการใช้เทคโนโลยีระหว่างกิจการไทยและต่างชาติ




ด้าน นายธนภูมิ ม่วงเอี่ยม ผู้ร่วมก่อตั้งและเจ้าหน้าที่บริหารงานฟาร์มและควบคุมคุณภาพ เผยว่า ในอีก 1-2 ปีข้างหน้าจะเป็นการเลี้ยงจิ้งหรีดแบบออโตเมติกตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุครบ 45 วัน ก่อนนำไปแปรรูปเป็นโปรตีนรูปแบบต่างๆ ซึ่งจิ้งหรีดมีทั้งหมด 100 สายพันธุ์ ซึ่งอาหารที่นำมาให้จิ้งหรีดกินนั้นเป็นอาหารที่ทางโรงงานนำเอาอาหารชนิดอื่นๆ มารวมกันและคิดค้นจนเป็นสูตรเฉพาะของโรงงานเอง ทั้งนี้การการเลี้ยงจิ้งหรีดของโรงงานจะเป็นการเลี้ยงแบบแถวตั้งเนื่องจากประหยัดพื้นที่และได้ปริมาณการเลี้ยงดู เป็นจำนวนมาก ส่วนการผลิตจะมีห้องผลิตโดยนำเอาจิ้งหรีดมาล้างทำความสะอาดทั้งหมด 3 น้ำ 10 นาที โดยแบ่งเป็นครั้งละ 7-2-1 นาที มีระบบตีน้ำ เมื่อล้างเสร็จแล้วนำไปสกรีนตรวจสอบสิ่งแปลกปลอม หลังจากนั้นนำเข้าห้องการบรรจุภัณฑ์




นอกจากนี้การทำฟาร์มจิ้งหรีดที่นอกจากการส่งออกไปยังต่างประเทศแล้วยังส่งเสริมการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน โดยชาวบ้านที่สร้างฟาร์มจิ้งหรีดนั้นมีรายได้ 8 แสนต่อปี ใน 5 ปี ต้องสามารถคืนทุนได้ โดยในประเทศไทยมีฟาร์มจิ้งหรีดกว่า 20,000 ฟาร์ม ส่งเสริมให้จิ้งหรีดเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ภาคการเกษตรและปศุสัตว์ควรเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้ได้การรองรับและได้มาตรฐานฟาร์มจิ้งหรีด ซึ่งส่วนที่ยังขาดในตอนนี้คือ มาตรฐานอาหารของจิ้งหรีดยังไม่มีกฎหมายรองรับ นอกจากนี้ประเทศไทยเป็นที่เดียวในโลกที่มี GAP มาตรฐานฟาร์มจิ้งหรีด จดลิขสิทธิ์ในไทยและต่างประเทศ




ทั้งนี้ บีโอไอที่ได้มีการสนับสนุน โกลบอล บั๊กส์ เอเชียแล้วยังได้มีการสนับสนุน บริษัท บุญ คอปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับการตลาดในการจัดจำหน่ายส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่ม วัตถุแต่งกลิ่นอาหาร เครื่องปรุงอาหาร หรือสารสกัดต่างๆ ให้กับบริษัทในเครือ โดยการศึกษาพบว่า ประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้าสารแต่งกลิ่นรส (FLAVOR) จากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีความต้องการลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างมูลค่าให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรของประเทศไทยและนำไปต่อยอดการผลิตสารเติมแต่งกลิ่นรส (FLAVOR)




นอกจากนี้ได้มีการนำเอาวัตถุดิบทางการเกษตรมาแต่งกลิ่น ทำหน้าที่บอกอัตลักษณ์ความเป็นไทยลงไปในผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมความเป็นเกษตรของไทย โดยมีสินค้า เช่น ไซรัปกลิ่นต่างๆ เช่น SMUI COCONUT, CHULALONGKORN ROSE, MANGO STICKY RICE และ ROYAL KAFFIR LIME LEAF เป็นต้น ทั้งนี้ยังมีสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศโดยจะเป็นสินค้าจำพวกกลิ่นขนมหวาน สำหรับการวางจำหน่ายจะมีการขายในต้นปีหน้าตามห้างชั้นนำและร้านขายเบเกอรี่ทั่วไป
















* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า"SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น