สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผย ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ หนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-CURVE) โดยเริ่มมกราคม 2560 และขยายผลในพื้นที่ EEC ภาคเหนือตอนล่าง และภาคอีสานตอนกลาง หวังเชื่อมภาคเกษตรสู่ภาคอุตสาหกรรม กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
ดร.ณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบมาตรการพัฒนาอุสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ. 2561-2570 โดยมีเป้าประสงค์ที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Bio Hub of ASEAN ภายในปี พ.ศ. 2570 ซึ่ง ครม.ได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 ภายใต้มาตรการดังกล่าวจะเน้นภาคเอกชนเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุน
ขณะนี้ได้เกิดโครงการลงทุนในผลิตภัณฑ์เป้าหมาย ได้แก่ พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) เคมีชีวภาพ (Biochemicals) และชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals) ตามแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจกระแสใหม่ หรือเศรษฐกิจชีวภาพแล้วในหลายพื้นที่ ซึ่งมีการลงทุนไปแล้วคิดเป็นมูลค่า 12,360 ล้านบาท แบ่งเป็น Biochemicals 5,000 ล้านบาท Food ingredient 120 ล้านบาท Feed ingredient 300 ล้านบาท และ Biopharma 6,940 ล้านบาท และจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในอนาคตอีก 187,205 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพืชเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน และเกิดผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพที่หลากหลายในกลุ่ม Bioplastics Biochemicals และ Biopharmaceutical
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ ครม.ได้มีมติเห็นชอบจะได้เร่งให้เกิดการดำเนินงานภายในปี พ.ศ. 2561-2570 ซึ่งเป็นการทำงานแบบบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยผ่านคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) ในการกำกับและติดตาม และในส่วนมาตรการเร่งด่วน จะดำเนินการขจัดอุปสรรคการลงทุน และสร้างปัจจัยสนับสนุน รวมถึงปัจจัยพื้นฐานสำคัญให้อุตสาหกรรมชีวภาพเกิดขึ้นได้ ดังนี้
1) สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ดำเนินการปรับปรุง พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 ให้สามารถนำน้ำอ้อยไปผลิตสินค้าชนิดอื่นที่ไม่ใช่น้ำตาลทรายได้ และจัดสรรวัตถุดิบ (น้ำอ้อย) ที่เพียงพอและเหมาะสมกับอุตสาหกรรมชีวภาพ รวมทั้งสามารถตั้งโรงงานชีวภาพได้ในพื้นที่ 50 กม. หากโรงงานเดิมให้ความยินยอม
2) กรมโรงงานอุตสาหกรรม จะเพิ่มบัญชีประเภทกิจการอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล (S-Curve) ในบัญชีประเภทโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อแยกอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพออกจากอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์
3) กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง จะมีการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม เพื่อสนับสนุนการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล ในพื้นที่ที่มีความเหมาะสมหรือพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการผังเมือง โดยในหลักการพื้นที่ทางการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบ ควรอยู่ใกล้กับโรงงานแปรรูป หากแยกกันอยู่จะส่งผลกระทบด้าน Logistic ถนนชำรุด สูญเสียพลังงาน และเกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานออกจากพื้นที่ เป็นต้น
สำหรับการผลักดันมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ กลุ่ม New S-Curve และเป็นการดำเนินการให้สอดรับกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพของคณะทำงานด้านการพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (D5) เพื่อผลักดันภาคเอกชนให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการลงทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศ
ในพื้นที่นำร่อง 3 เขต ได้แก่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีมูลค่าการลงทุน 9,740 ล้านบาท เขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง (นครสวรรค์และกำแพงเพชร) มีมูลค่าการลงทุน 51,000 ล้านบาท และเขตพื้นที่ภาคอีสานตอนกลาง (ขอนแก่น) มีมูลค่าการลงทุน 35,030 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ภาคเกษตรไทยเกิดการปรับตัวด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น Smart Farming หรือฟาร์มอัจฉริยะ
คาดว่าการดำเนินการภายใต้มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 48,000 บาทต่อคนต่อปี เป็นระหว่าง 65,000 ถึง 85,000 บาทต่อคนต่อปี ในปี 2570 สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตให้เกษตรกรมากกว่า 80,000 ครัวเรือน เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพภายในประเทศ 200,000 ล้านบาท และเกิด High-tech labor / knowledge workers เพิ่มขึ้นมากกว่า 20,000 คน
“ดังนั้น การกำหนดทิศทางที่ชัดเจนในการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพเป้าหมายใหม่ที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรมจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถผลักดันประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมชีวภาพครบวงจรในอาเซียน” ดร.ณัฐพลกล่าวสรุป
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *