กระทรวงพาณิชย์ ออกกฎกระทรวงรองรับ “ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ” เป็นหลักประกันทางธุรกิจ สนับสนุนแผนปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พร้อมผลักดันให้ประชาชนปลูกไม้ยืนต้นมูลค่าสูงในที่ดินกรรมสิทธิ์เพื่อการออม ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจาก รมว.พณ.เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างขั้นตอนการเสนอเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
นางกุลณี อิศดิศัย อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯ เร่งออกกฎกระทรวงเพื่อเพิ่มทรัพย์สินอื่นมาเป็นหลักประกัน คือ “ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ” ซึ่งเป็นไปตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไม้ยืนต้นในที่ดินกรรมสิทธิ์เพื่อการออม การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าในประเทศไทย อีกทั้งประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากต้นไม้ระหว่างการปลูก โดยนำไปเป็นหลักประกันทางธุรกิจเพื่อกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงินได้
เบื้องต้นกรมฯ ได้รับฟังความคิดเห็นจากภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม สหกรณ์สวนป่าภาคเอกชน กรมป่าไม้ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ สมาคมธนาคารไทยและธนาคารรัฐ เช่น ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน SME Bank โดยทุกหน่วยงานสนับสนุนให้กระทรวงพาณิชย์เร่งออกกฎกระทรวงกำหนดให้ “ต้นไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ” เป็นหลักประกันทางธุรกิจ ซึ่งขณะนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และอยู่ระหว่างขั้นตอนการเสนอเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดว่าจะเป็นไปตามแผนที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคมตั้งเป้าหมายไว้ภายใน 1 ปี (ภายในเดือนกันยายน 2561)”
“ล่าสุดภาคเอกชนได้มีการนำสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ ประเภทสัตว์พาหนะ (ช้าง) และกิจการ มาจดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยมูลค่าทรัพย์สิน (ช้าง) ที่นำมาเป็นหลักประกัน จำนวน 13 ล้านบาท และกิจการ 514 กิจการ ประกอบด้วย ร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า ร้านซักอบรีด สวนผัก ผลไม้ สวนยางพารา หอพัก และรับเหมาก่อสร้าง จำนวน 97 ล้านบาท รวมมูลค่า (ช้างและกิจการ) กว่า 110 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของประเภททรัพย์สินที่นำมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ และเป็นที่ยอมรับของสถาบันการเงินในการให้กู้ยืมเงิน สามารถสะท้อนได้ว่า พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้เอสเอ็มอีไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น”
ปัจจุบัน (4 กรกฎาคม 2559 - 3 กรกฎาคม 2561) มีผู้มาขอจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 210,730 คำขอ มูลค่าทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกัน รวมทั้งสิ้น 4,849,127 ล้านบาท โดยสิทธิเรียกร้องประเภทบัญชีเงินฝากธนาคาร ยังคงเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 51.88 (มูลค่า 2,515,487 ล้านบาท) รองลงมา คือ สิทธิเรียกร้องประเภทลูกหนี้การค้า สัญญาจ้าง สัญญาเช่า สัญญาซื้อขาย คิดเป็นร้อยละ 25.92 (มูลค่า 1,256,912 ล้านบาท) สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ ได้แก่ สินค้าคงคลัง วัตถุดิบ เครื่องจักร รถยนต์ เรือ ช้าง คิดเป็นร้อยละ 22.16 (มูลค่า 1,074,656 ล้านบาท) ทรัพย์สินทางปัญญา คิดเป็นร้อยละ 0.04 (มูลค่า 1,975 ล้านบาท) กิจการ คิดเป็นร้อยละ 0.002 (มูลค่า 97 ล้านบาท) และอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 0.00001 (มูลค่า 340,000 บาท)
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ กองทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร. 0-2547-5048 e-Mail : Stro@dbd.go.th หรือสายด่วน 1570 และ www.dbd.go.th
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *