น้ำหวาน “เฮลซ์บลูบอย” (Hale’s Blue Boy) อยู่ในวงการมายาวนาน 50 กว่าปี เป็นน้ำหวานยี่ห้อที่แทบทุกคนต้องเคยลิ้มรส แต่เมื่อถามถึงประวัติธุรกิจ น้อยคนจะรู้จัก ดังนั้น จึงเป็นประเด็นน่าสนใจ ควรแก่การหาคำตอบว่า ทำอย่างไรจึงก้าวมาเป็นน้ำหวานคู่บ้านคนไทยได้? และทำอย่างไร จึงรักษาตลาดได้สม่ำเสมอตลอดมา?
เมื่อไม่นานมานี่ ทีมงาน “SMEsผู้จัดการ” ได้มีโอกาสพบและพูดคุยกับ “คุณประยุทธ พัฒนะอเนก” ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เฮลซ์เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นทายาทรุ่น 2 ของน้ำหวาน ตรา "เฮลซ์บลูบอย" ที่มาบอกเล่าเรื่องราวของน้ำหวานในตำนาน พร้อมเฉลยข้อสงสัยในคำถามคาใจข้างต้น
คุณประยุทธ ระบุว่า ครอบครัวเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน เดิมประกอบอาชีพเปิดร้านโชวห่วย และเริ่มมาทำน้ำหวานขาย ประมาณ พ.ศ.2502 บุกเบิกโดยคุณพ่อของเขา ร่วมกับพี่น้อง ทั้งหมด 4 ท่าน ส่วนสาเหตุที่ทำไมเลือกจะทำน้ำหวานนั้น ไม่ปรากฏแน่ชัด รู้เพียงว่า ประเทศไทยเวลานั้น มีความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคแทบทุกประเภท หากใครคิดหรือทำสินค้าแปลกใหม่ได้ก่อน หรือทำแบรนด์ได้ก่อน ก็มักจะประสบความสำเร็จ
“ผมไม่รู้แน่ชัดว่าเราเป็นแบรนด์แรกที่ทำน้ำหวานหรือเปล่า แต่เท่าที่ผมจำความได้ เราประสบความสำเร็จจากการขายน้ำหวานตั้งแต่เริ่มเลย ซึ่งเวลานั้น ตลาดขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคแทบทุกชนิด ส่วนสูตรน้ำหวาน ก็เป็นสูตรที่ครอบครัวของผม ช่วยกันคิดขึ้น พอประสบความสำเร็จขึ้นมา เมื่อก่อนก็มีคู่แข่งบ้าง แต่เนื่องจากสูตรเราเป็นเอกลักษณ์ และการตลาดค่อนข้างแน่น ทำให้ตีเราไม่ลง ส่วนใหญ่พอขึ้นมาแข่งสักพัก ก็จะล้มหายไป” ทายาทธุรกิจย้อนจุดเริ่มต้น
โดยหัวใจที่ผลักดันให้แบรนด์ครองใจลูกค้าต่อเนื่อง และแทบจะเป็นน้ำหวานแบรนด์ไทยเจ้าเดียวที่คนทั่วไปจะถึงนึกออก ทายาทรุ่น 2 วิเคราะห์ว่า น่าจะมาจาก 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. สินค้าน้ำหวานเพื่อการบริโภคในครัวเรือน กำไรต่อหน่อยค่อนข้างต่ำ ยอดขายไม่ได้หวือหวามากนัก ธุรกิจขนาดใหญ่ทุนหนาจึงไม่ค่อยให้ความสนใจจะลงมาแข่งขันในตลาดนี้ ส่วนใหญ่หันไปผลิตน้ำหวานเพื่อส่งใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมแทน ดังนั้น การแข่งขันจึงไม่รุนแรงนัก แทบไม่มีเจ้าใหญ่ลงมาชิงลูกค้า
และ 2. คงรักษาคุณภาพให้ดีสม่ำเสมอ ซึ่งประเด็นนี้เชื่อว่าเป็นกระดูกสันหลังของธุรกิจตลอดมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด เรื่องของสูตรยังคงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ลูกค้าจดจำได้ โดยความยากอยู่ที่การควบคุมคุณภาพของ “น้ำตาล” ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต ที่จะต้องทำออกมาให้คงรสชาติน้ำหวานทุกขวดเหมือนเดิมเสมอ
“เราไม่สนใจจะไปสู้ในตลาดน้ำหวานเพื่อโรงงานอุตสาหกรรม แม้ว่าจะได้กำไรมากกว่า เพราะไม่ใช่ตลาดที่ตัวเรามีความถนัด ถ้าไปทำแล้ว คุณภาพก็จะไม่เหมือนเดิม เนื่องจากน้ำหวานที่จะส่งโรงงานอุตสาหกรรมจะต้องทำใส่ขวดพลาสติก เพื่อลดต้นทุน แต่จะเก็บได้แค่ 1 ปี แต่ขวดแก้วที่เราใช้ จะเก็บรักษาได้ 2-5 ปี ดังนั้น เราจึงเลือกที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดดีกว่า เพื่อจะรักษาคุณภาพไม่ให้เปลี่ยนแปลง” เขาเผย และเล่าต่อว่า
ครอบครัวเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ที่ยึดหลักอดออม ทำมาหากินแบบเน้นความปลอดภัย ไม่โลดโผน เติบโตอย่างช้าๆ ค่อยๆ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง อย่างบรรจุภัณฑ์ใส่ขวดแก้วใส ขนาด 710 มิลลิลิตรที่คุ้นตา ก็เริ่มใช้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว และต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
ระยะเวลาธุรกิจ 50 กว่าปี มีสินค้าแค่ 2 ชนิดเท่านั้น คือ 1.“น้ำหวาน” ที่มีอยู่ 9 กลิ่น ได้แก่ สละ ครีมโซดา สัปปะรด องุ่น สตรอเบอร์รี่ แคนตาลูป ซาสี่ มะลิ และกุหลาบ กับ 2.“น้ำตาลก้อน” แต่กลับยืนหยัดได้อย่างมั่นคง เนื่องจากแบรนด์มีความแข็งแรงอย่างยิ่ง อันเกิดจากการสะสมความน่าเชื่อถือผ่านระยะยาวนานจนลูกค้าจดจำได้ดี นึกถึงน้ำหวานก็มักคิดถึง “เฮลซ์บลูบอย” นอกจากนั้น ยังเป็นสินค้าต้นทางที่สามารถนำไปประยุกต์ทำเมนูอื่นๆ ได้หลากหลาย สามารถจับตลาดได้ทุกกลุ่ม ตั้งแต่ล่างถึงบน
“ต้องยกเครดิตให้ลูกค้าที่นำน้ำหวานของเราไปครีเอทเป็นเมนูต่างๆ หลากหลาย เช่น นำไปทำเป็นเมนูน้ำแดงโซดา หรือคนจะทำทับทิมกรอบ ก็ต้องใส่น้ำแดง ซึ่งสินค้าของเรามันขายได้ทุกกลุ่มลูกค้า ตั้งแต่รถเข็นน้ำแข็งไส ก็ใช้ของเรา หรือจะเป็นร้านอาหารเจ้าดัง ใช้น้ำหวานของเรา ก็ได้รับความเชื่อถือ นี่แสดงให้เห็นว่า การที่เรายึดมั่นทำคุณภาพให้ดี ในระดับราคาเหมาะสม ช่วยสร้างให้ลูกค้าจดจำเราได้ ทั้งๆ ที่การทำประชาสัมพันธ์ของเราน้อยมากๆ” เขาเผย
แม้จะอยู่ในวงการมายาวนานนับครึ่งศตวรรษ แต่ในแง่ของผู้บริหารองค์กรแห่งนี้ น้อยครั้งมากๆ จะออกมาให้ข้อมูลแก่สาธารณะชน สาเหตุเนื่องจากสมาชิกรุ่นก่อตั้งทุกคน รวมถึงทายาทรุ่น 2 ที่มาสานต่อ ที่รวมถึงตัวเขาเองด้วย ต่างไม่ชอบจะออกสื่อใดๆ เลย ต้องการแค่อยากทำธุรกิจแบบพอเพียง ค่อยๆ เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
“ปรัชญาในการทำธุรกิจของเรา ก็เหมือนคนจีนทั่วไป คือ ซื่อสัตย์ ยุติธรรม และมีคุณธรรม แต่สิ่งสำคัญ อยู่ที่ต้องทำให้ได้จริง และอยู่ในสำนึกเสมอ รวมถึง รักษาคุณภาพ และพัฒนาต่อเนื่อง ซึ่งตลาดน้ำหวาน ในความเป็นจริง เป็นตลาดที่จำกัด อัตราการเติบโตปีละเล็กน้อย แต่ก็โตสม่ำเสมอต่อเนื่อง ซึ่งเราก็พอใจจุดยืนนี่”
“ผมเปรียบชีวิตคนเรา กับการทำธุรกิจ ถ้าคุณโตขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างแข็งแรง คุณก็มีความสุขแล้ว เราไม่ต้องการจะโตแบบหวือหวา แต่พอเกิดวิกฤตแล้วร่วงเลย เหมือนช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ จะเห็นได้เลยว่า หลายบริษัทที่ต้องการเติบโตก้าวกระโดด ไปกู้หนี้ยืมสินมา พอเจอวิกฤต ธุรกิจก็เจ๊งไปเลย ในขณะที่ ช่วงวิกฤต เราก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ยังประคองตัวได้ ดังนั้น เราจึงมีแนวคิดโต step by step ถามว่าเรามีการกู้เงินมาขยายธุรกิจหรือไม่ เราก็มีเช่นกัน แต่กู้อย่างสมเหตุสมผล เพื่อขยายพัฒนาธุรกิจ ไม่ได้เอาเงินไปใช้ผิดประเภท” ประยุทธ เผยปรัชญาดำเนินธุรกิจของเฮลซ์บลูบอย ที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
ปัจจุบันนี้ ทายาทรุ่น 2 ที่เข้ามาช่วยสานต่อกิจการ มีด้วยกัน 4 คน ในขณะที่รุ่นหนึ่งผู้ก่อตั้ง ยังคงเป็นที่ปรึกษาธุรกิจอยู่ไม่ห่าง หากเทียบกับองค์กรสมัยใหม่ อาจกล่าวได้ว่า รุ่นหนึ่งทำหน้าที่เป็นบอร์ดนโยบาย ส่วนรุ่นสองเป็นบอร์ดบริหาร ทั้งหมดจะประชุมหารือร่วมกันเสมอ
ในส่วนตัวคุณประยุทธ ก่อนหน้านี้ เคยทำงานประจำให้องค์กรชั้นนำหลายแห่ง ก่อนจะกลับมาช่วยธุรกิจครอบครัวเต็มตัว เมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยมีธงสำคัญที่กำลังจะพาธุรกิจน้ำหวานของครอบครัวเดินทางไปขยายตลาดในต่างแดน
“ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว เราเคยมีความคิดอยากจะส่งออกต่างประเทศ แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ตลาดห้างค้าปลีกสมัยใหม่ และซูเปอร์มาร์เกตเติบโตสูงมาก เฉพาะผลิตส่งตลาดในประเทศ เราก็ทำไม่ทันแล้ว แต่ระยะหลังตลาดกลุ่มดังกล่าว ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ผมเลยกลับมาช่วยทำตลาดขยายไปสู่การส่งออก” คุณประยุทธ เผยที่มาของการเข้ามาสานต่อธุรกิจเพื่อบุกตลาดส่งออก
โดยในปีแรก ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และยุโรป ปีนี้ (2559) ซึ่งเป็นปีที่สองในการส่งออก มุ่งไปยังตลาดอาเซียน และจีน และปีหน้า (2560) จะขยายไปยังตลาดอินเดีย ภายใต้ธงหลักที่ใช้ชูนำเสนอสินค้าว่าเป็น Number one syrup in Thailand
“ก่อนจะไปทำตลาดประเทศใด ผมจะสำรวจก่อนว่า มีความต้องการสินค้าเราหรือไม่ และดูด้วยว่าในตลาดนั้นๆ มีคู่แข่งอยู่ก่อนแล้วหรือไม่ อย่างไร ซึ่งความต้องการของผม อยากจะขายน้ำหวานของเราไปได้ทั่วโลก เพื่อตอบความต้องการของคนไทยที่กระจายไปทุกมุมโลก รวมถึงผู้บริโภคท้องถิ่น ตั้งเป้าว่า ที่ใดก็ตามที่มีความต้องการน้ำหวานของเรา จะต้องมีสินค้าไปวางขายให้ได้ แต่ละขายได้มากน้อยหรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อย ต้องมีสินค้าของเราเป็นทางเลือกของลูกค้า” ทายาทรุ่น 2 ตบท้าย
นับเป็นก้าวเดินครั้งใหม่ของตำนานน้ำหวานสัญชาติไทยที่กำลังจะสยายปีกไปต่างแดน ภายใต้จุดยืนเดิมที่จะดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ รักษาคุณภาพสินค้าให้ดีอย่างที่เคยเป็นมา และจะสืบต่อไป
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *