xs
xsm
sm
md
lg

รับเทรนด์สังคมผู้สูงวัย ‘บ้านธาราวดีฯ’ เจ้าแรกปั้นแฟรนไชส์ศูนย์ดูแลสุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์ในเวลาอีกไม่นาน ปริมาณคนชราย่อมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลายธุรกิจริเริ่มทำสินค้าหรือบริการรับเทรนด์ดังกล่าว อย่าง “บ้านธาราวดี เนอร์สซิ่งโฮม” เติบโตด้วยธุรกิจศูนย์ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ จุดขายมาตรฐานระดับโรงพยาบาล พร้อมต่อยอดระบบแฟรนไชส์รายแรกในเมืองไทย
กฤษณ์กมล แพงศรี
เจ้าของธุรกิจ “กฤษณ์กมล แพงศรี” อดีตพยาบาล โรงพยาบาลอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี ที่มีประสบการณ์ในวิชาชีพยาวนาน และเห็นปัญหาที่ญาติๆ มักอยากให้ผู้สูงอายุที่เข้ารักษาตัวใน รพ. อยู่พักต่อใน รพ.ให้นานที่สุด แม้จะได้รับอนุญาตให้พากลับบ้านได้แล้วก็ตาม เนื่องจากไม่สะดวกจะเฝ้าดูแลเองอย่างใกล้ชิด

“จากที่เห็นปัญหาดังกล่าว เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ดิฉันเริ่มนำที่ดินส่วนหนึ่งในบริเวณบ้าน ประมาณ 70 ตรม. ลงทุนราว1.7 ล้านบาท ทำเป็นบ้านพักดูแลผู้สูงอายุ เบื้องต้นมีผู้สูงอายุเข้าพักแค่ 1 คน แต่จากบริการที่ดี ได้รับการบอกต่อ ปัจจุบัน ขยายพื้นที่เป็นกว่า 2 ไร่ มีผู้สูงอายุ พักอยู่ประมาณ 40 คน และเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ กำลังเปิดสาขา 2 ที่ จ.นครนายก เนื้อที่ 4 ไร่ รับได้อีก 40 คน” กฤษณ์กมล กล่าว
ทีมงานของ “บ้านธาราวดี เนอร์สซิ่งโฮม”
เธอระบุสิ่งสำคัญที่ผลักดันให้ “บ้านธาราวดี เนอร์สซิ่งโฮม” ประสบความสำเร็จ แบ่งเป็นปัจจัย “ภายนอก” ที่ตัวอาคาร สถานที่ อุปกรณ์ เครื่องมือ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ใช้มาตรฐานเดียวกับโรงพยาบาล เหมาะสมแก่การดูแลผู้สูงอายุ รวมถึง ตั้งอยู่ในทำเลเดินทางสะดวก ใกล้โรงพยาบาล พาผู้สูงอายุไปพบแพทย์ได้ง่ายและทันต่อเหตุด่วนที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ส่วนปัจจัย “ภายใน” คือ ตัว “บุคลากร” ที่ดูแลผู้สูงอายุได้มาตรฐานทางการแพทย์ที่ถูกต้อง และยังทำงานอย่างมีความสุขด้วย โดยใช้วิธีอบรมสร้างทีมงานเป็น “ผู้ช่วยพยาบาล” ซึ่งผู้เข้าอบรมต้องจบการศึกษาระดับ ม.6 ขึ้นไป ใช้เวลาบ่มเพาะถึง 6 เดือนสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เหมือนนางพยาบาล เช่น ป้อนอาหาร ยกพลิกตัว จับชีพจร ฯลฯ นับถึงปัจจุบัน มีผู้เข้าอบรมกว่า 80 คน และเมื่อเข้าทำงานจริง จะวางตารางการทำงานให้เหมาะสม ไม่หนักเกินไป มีวันหยุดพักผ่อนเหมาะสม ควบคู่ให้ค่าตอบแทน และสวัสดิการที่น่าพึงพอใจ เช่น มีรายได้เสริมจากค่าเวร ค่าทำงานกะดึก เป็นต้น

“ธุรกิจบริการสุขภาพ เรื่องดูแล “จิตใจ” สำคัญมาก เพราะผู้สูงวัย จิตใจมีความอ่อนไหวสูง คนดูแลต้องใช้จิตวิทยาในการพูดและปฏิบัติที่ถูกต้อง ในขณะเดียวกัน ตัวพนักงานก็มีความเครียดในการทำงานสูง ผู้ประกอบธุรกิจนี้ส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีปัญหาพนักงานลาออกบ่อย จนกระทบมาตรฐานบริการ ดังนั้น ดิฉันจึงทำโปรแกรมพัฒนาบุคลากรมารองรับ สามารถสลับเปลี่ยนคนใหม่แทนคนเก่าได้ตลอด และจัดตารางทำงานไม่เหนื่อยไม่เครียดเกินไป เมื่อพนักงานทำงานมีความสุข งานบริการก็จะดีตามไปด้วย ซึ่งจุดนี้ เราเป็นพยาบาลมาตลอดชีวิต เข้าใจหัวอกดี เลยนำความรู้และประสบการณ์มาปรับใช้ได้ทั้งหมด” กฤษณ์กมล เสริม

ค่าบริการของ “บ้านธาราวดี เนอร์สซิ่งโฮม” แบ่งเป็น 3 ระดับตามอาการของผู้สูงอายุ ได้แก่ 1.พอจะดูแลตัวเองได้ คิด 18,000 บาทต่อเดือน โดยมีอัตราคนดูแล 1 ต่อผู้สูงอายุ 3 คน 2.อาการคงที่ นอนติดเตียง เจาะคอ คิด 20,000-22,000 บาทต่อเดือน (ตามแต่อาการ) โดยมีอัตราคนดูแล 1 ต่อผู้สูงอายุ 2 คน และ 3.อยู่ระยะสุดท้าย คิด 25,000-30,000 บาทต่อเดือน (ตามแต่อาการ) โดยมีอัตราคนดูแล 1 ต่อผู้สูงอายุ 1.5 คน ซึ่งอัตราดังกล่าว เทียบแล้วยังประหยัดกว่าพักใน รพ.เอกชน มาก

ด้านบริการนั้น กฤษณ์กมล บอกว่า เหมือน รพ.ทุกประการ เริ่มตั้งแต่ทำประวัติคนไข้ บริการพื้นฐานครบถ้วน เช่น ป้อนอาหารหลักและอาหารว่าง 3 มื้อ พลิกตัวทุก 2 ชั่วโมง ตรวจวัดไข้ตามเวลา พาไปพบแพทย์ประจำตามนัด ฯลฯ นอกจากนั้น มีเสริมกิจกรรม เช่น นวดแผนไทย นิมนต์พระสงฆ์มาให้ใส่บาตรหรือแสดงธรรมถึงเตียง เป็นต้น โดยการดูแลนั้น จะพิจารณาตามอาการจริง ไม่มีเลี้ยงไข้ หากผู้สูงอายุสุขภาพดี พร้อมจะส่งตัวกลับบ้านแล้ว จะติดต่อให้ญาติมารับทันที

“แนวคิดของดิฉัน ต้องการให้เราเป็นสถานที่ดูแลเพื่อการฟื้นฟู ไม่ใช่สถานที่อยู่จนวาระสุดท้าย ถ้าผู้เข้าพักอาการดีขึ้นแล้ว พิจารณาว่ากลับไปอยู่บ้านจะเหมาะกว่า เราจะติดต่อญาติเลย ซึ่งที่ผ่านมา ผู้เข้าพักเฉลี่ยใช้เวลาตั้งแต่ 1 เดือนจนอยู่นานที่สุดกว่า 4 ปีแล้ว อายุเฉลี่ยผู้มาเข้าพักประมาณ 75 ปี” เจ้าของธุรกิจ เผย
ผ่านการรับรองมาตรฐานแฟรนไชส์จากกระทรวงพาณิชย์ และยังได้รับคัดเลือกเป็น Best Practice บริการสุขภาพด้วย
จากระบบที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ ขณะนี้ “บ้านธาราวดี เนอร์สซิ่งโฮม” ต่อยอดนำธุรกิจดูแลผู้สูงอายุมาเป็นแฟรนไชส์ โดยผ่านการรับรองมาตรฐานแฟรนไชส์จากกระทรวงพาณิชย์ และยังได้รับคัดเลือกเป็น Best Practice บริการสุขภาพด้วย ถือเป็นแฟรนไชส์ธุรกิจดูแลสุขภาพผู้สูงอายุรายแรกในเมืองไทย

กฤษณ์กมล อธิบายถึงเหตุผลที่ทำแฟรนไชส์ว่า เนื่องจากธุรกิจนี้ใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูงและจำเป็นต้องมีสถานที่เหมาะสม การปล่อยแฟรนไชส์จะช่วยขยายสาขาได้ง่ายกว่า และอีกประการ เนื่องจากปัจจุบัน ยังไม่กฎหมายใดๆ ออกมาควบคุมหรือรับรองมาตรฐานสถานประกอบการเลย การที่บ้านธาราวดีฯ พาตัวเองเข้ามาอยู่ในระบบแฟรนไชส์ ผ่านรับรองจากภาครัฐ ย่อมช่วยการันตีมาตรฐานได้ระดับหนึ่งว่า มีคุณภาพน่าเชื่อถือ

สำหรับเกณฑ์ในการลงทุนแฟรนไชส์นั้น ใช้เงินทุนประมาณ 1.5-3 ล้านบาท (ตามขนาดพื้นที่) โดยต้องมีสิ่งปลูกสร้าง บนที่ดิน ขนาด 1 ไร่ขึ้นไป โดยจะได้รับการปรับปรุงและตกแต่งสถานที่กับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะจะทำเป็นบ้านพักเพื่อดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงมีอุปกรณ์ต่างๆ ให้ครบถ้วน

ด้านระบบที่วางไว้ ส่วนกลางจะส่งทีมงานมาให้ ทั้ง “พยาบาล” กับ “ผู้ช่วยพยาบาล” โดยต้องให้ทำงานตามตารางเวลาที่กำหนดเท่านั้น รวมถึง บุคลากรเสริม อย่างแม่บ้าน และแม่ครัว ต้องส่งมาอบรมที่ส่วนกลางก่อนทำงานจริง ซึ่งวิธีนี้จะทำให้งานบริการเกิดมาตรฐานเดียวกัน โดยเงินเดือนพนักงานทั้งหมด ผู้ลงทุนจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ

ทั้งนี้ ส่วนกลางจะสนับสนุน ช่วยหาผู้สูงอายุ ส่งมาเข้าพัก ควบคู่กับผู้ลงทุนหาเองประกอบด้วย ซึ่งรายได้จากค่าบริการที่เกิดขึ้น จะแบ่งกันตามสัดส่วนที่ตกลงไว้ วางเป้าว่า ในปี 2560 จะมีแฟรนไชส์ประมาณ 3 สาขา

กฤษณ์กมล ระบุด้วยว่า ผู้สนใจธุรกิจแฟรนไชส์บ้านธาราวดีฯ ต้องพร้อมมีสถานที่เป็นของตัวเอง ตั้งอยู่ในทำเลเดินทางสะดวก อายุควรอยู่ในวัย 40-50 ปี มีสภาพการเงินดี เพราะถือเป็นการลงทุนระยะยาว คืนทุนได้ใน 2 ปี และที่สำคัญที่สุด ต้องมีใจเมตตารักงานบริการ เนื่องจากการดูแลผู้สูงอายุเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ใกล้ชิดกับการเจ็บป่วยล้มตาย หากคิดแต่จะมาทำเพื่อหวังกำไรเป็นอันดับแรก จนละเลยเรื่องการดูแลจิตใจ จะทำให้ผู้เข้าพักหรือญาติผู้เข้าพักขาดความประทับใจ สุดท้ายธุรกิจยากจะประสบความสำเร็จ

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น