1. ค้นหาความต้องการ (Needs) - การวิเคราะห์เพื่อหาความต้องการของสินค้าเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องพิจารณาอย่างยิ่งในการที่จะเริ่มต้นผลิตสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจทำโดยการสำรวจ สัมภาษณ์ หรือเก็บข้อมูลด้วยวิธีอื่น ๆ ที่สามารถค้นหาความต้องการที่แท้จริงในปัจจุบันของผู้บริโภคได้ ขณะเดียวกันก็ต้องสามารถพยากรณ์เทรนด์หรือแนวโน้มความต้องการใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือยิ่งไปกว่านั้นคือความสามารถในการสร้างให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการสินค้าใหม่ที่กำลังจะผลิตขึ้นได้
2. เน้นการต่อยอด (Development) - การปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นถือว่าเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำอยู่เสมอ ถึงแม้ปัจจุบันลูกค้าจะมีความพึงพอใจกับสินค้าอยู่แล้ว แต่ความต้องการนั้นๆ ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นผู้ประกอบการที่ดีควรมีการพัฒนาสินค้าของตนให้ดีขึ้นและสร้างความพึงพอใจที่มากขึ้นให้กับผู้บริโภคอยู่เสมอ
3. เติมความคิดสร้างสรรค์ (Creative) - ความคิดสร้างสรรค์ในเชิงศิลปะ การสร้างสรรค์ความงามที่แปลกใหม่ให้ผลิตภัณฑ์มีความงดงามและมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น เป็นการสื่อถึงความมีรสนิยมในการสร้างสรรค์และออกแบบสินค้า ซึ่งจะส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความรื่นรมย์และสร้างแรงจูงใจในการอุปโภคและบริโภคสินค้ามากยิ่งขึ้น
4. เลือกใช้วัตถุดิบ (Material) - การพิจารณาเลือกใช้วัตถุดิบอย่างชาญฉลาดจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตสินค้าที่สร้างความน่าสนใจให้เกิดกับผู้บริโภคได้ อีกทั้งยังสามารถสร้างความได้เปรียบทางการขายได้อีกด้วย อาทิ การเลือกใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่ายในพื้นที่จะทำให้สินค้ามีต้นทุนไม่สูงและยังสามารถบ่งบอกถึงอัตลักษณ์และจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ได้อีกด้วย
5. ใส่คุณประโยชน์ (Benefit) - ผลิตภัณฑ์ที่ดีจำเป็นต้องมีคุณประโยชน์ที่ชัดเจนทั้งในแง่ของการผลิตและการขาย ต้องสามารถสร้างความชัดเจนในตัวสินค้าในมุมมองของผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกกินเลือกใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับคุณประโยชน์ที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์นั้นๆ รวมไปถึงสามารถเพิ่มคุณประโยชน์ที่หลากหลายมากขึ้นให้กับสินค้า ทั้งการเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ และการเพิ่มคุณสมบัติในการใช้สอยของผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
6. พัฒนาด้วยเทคโนโลยี (Technology) - ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถช่วยแก้ปัญหาและลบจุดอ่อนของสินค้าได้ เช่น การปรับสูตรทางเคมี การปรับปรุงส่วนผสม การปรับแต่งกลิ่นและสี การสกัด การอบลมร้อน การอบแห้ง การพ่นฝอย การระเหย เทคโนโลยีฟรีซดราย (Freeze Dry) การใช้สารเคมีในกระบวนการผลิตต่างๆ เป็นต้น
7. ผลิตอย่างมีมาตรฐาน (Production) - กระบวนการผลิต รวมถึงเครื่องจักรในการผลิต ต้องมีความสะอาด ปราศจากสารพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทอาหาร จะต้องได้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานการผลิตต่าง ๆ อาทิ อย. ฮาลาล มอก. ISO GMP HACCP เป็นต้น เพราะสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
8. ใส่ใจบรรจุภัณฑ์ (Package) - บรรจุภัณฑ์ที่ดีควรมีคุณสมบัติพื้นฐานที่สำคัญ 2 ประการ คือ 1. ต้องสามารถป้องกันและรักษาคุณภาพของสินค้า อาทิ ความชื้น ความร้อน ฝุ่นละออง และการปนเปื้อนต่าง ๆ 2. ต้องส่งเสริมการขาย การออกแบบและโทนสีต้องบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของสินค้า สามารถสื่อสารกับผู้บริโภค ถึงคุณประโยชน์ของสินค้า มีเอกลักษณ์พิเศษที่ดึงดูด สร้างการจดจำ แสดงออกถึงความน่าเชื่อถือของสินค้าและอำนวยความสะดวกในการใช้งาน
9. รักษาอัตลักษณ์สินค้า (Identity) - การออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่กล่าวมาข้างต้น จะต้องสื่อถึงอัตลักษณ์ของสินค้า ตราสินค้า (Brand) และเอกลักษณ์ของสินค้า ซึ่งจะต้องสามารถสื่อถึงตัวตน และประโยชน์ใช้สอยของสินค้าได้อย่างชัดเจนไม่ผิดเพี้ยน อีกทั้งสามารถสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคจดจำและเข้าใจ ในสิ่งที่ผู้ประกอบการตั้งใจจะสื่อไปถึงผู้บริโภคได้
10. ระมัดระวังต้นทุน (Cost) - การพิจารณาข้อมูลด้านต้นทุนในการผลิตสินค้าใดสินค้าหนึ่งไปจนสิ้นสุดกระบวนการผลิต เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องคำนึงถึงควบคู่ไปกับการออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น การใช้วัตถุดิบ ปริมาณแรงงาน จำนวนเครื่องจักร พลังงานที่ใช้ ของเสียจากกระบวนการผลิต ฯลฯ เพราะการควบคุมต้นทุนที่ผิดพลาดจะนำไปสู่การตั้งราคาที่สูงเกินความเหมาะสม และทำให้ไม่สามารถสร้างยอดขายได้อย่างที่คาดการณ์
ที่มา : กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *