“จินต์ธนพงษ์ อ่ำเอี่ยม” เคยทำงานเป็นนายธนาคาร ฝ่ายสินเชื่อ แต่ความฝันที่แท้จริงแล้ว เขาอยากจะเป็นเอสเอ็มอี จนเมื่อพร้อม ในที่สุดออกมาลุยสร้างธุรกิจ สร้างสรรค์นวัตกรรมขนมและเบเกอรี่ ที่ทุกวันนี้ มีเส้นทางเดินธุรกิจที่จะเป็นผู้ผลิตสินค้าเพื่อแก้ปัญหาให้ผู้ผลิตกลุ่มเบเกอรี่ ภายใต้ชื่อ “ปั้นแป้ง” (Punpang)
จินต์ธนพงษ์ อ่ำเอี่ยม หรือ “ฮอต” เจ้าของกิจการ แบรนด์ “ปั้นแป้ง” (Punpang) ห้างหุ้นส่วนจำกัด ชินชู ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง เล่าว่า เป็นธรรมดาของมนุษย์เงินเดือนทั่วไปที่ฝันอยากจะมีธุรกิจของตัวเอง เขาเองก็เช่นกัน หลังทำงานเป็นพนักงานฝ่ายสินเชื่อของสถาบันการเงินแห่งหนึ่งกว่า 10 ปี จนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ลาออกมาทำธุรกิจของตัวเองที่ จ.พิษณุโลก
โดยเลือกทำ “ขนมผิงชุบช็อกโกแลต” ด้วยไอเดียต้องการสร้างความแปลกใหม่ให้วงการขนมไทย โดยนำขนมผิงมาเคลือบช็อกโกแลต เป็นการผสมผสานระหว่างขนมไทยกับตะวันตก
ฮอต เสริมว่า ใช้เงินลงทุนสร้างธุรกิจกว่า 7 หลัก มาจากเงินสะสมส่วนตัวบวกกับขอสินเชื่อจากธนาคาร เพื่อนำไปสร้างโรงงานผลิต ซื้อเครื่องจักร และวัตถุดิบต่างๆ ส่วนความรู้ในการผลิตและแปรรูป อาศัยลองผิดลองถูก พัฒนาขึ้นเอง มี 2 แบบ คือ ขนมผิงเคลือบช็อกโกแลตดำ และช็อกโกแลตขาว ส่งขายซูเปอร์มาร์เกตชื่อดัง อย่าง “ท็อปส์” และร้านขายของฝากต่างๆ ใน จ.พิษณุโลก
เพราะเป็นนวัตกรรมแปลกใหม่ ในแง่การสร้างความตื่นเต้นน่าสนใจให้แก่ตลาด ถือว่าขนมผิงชุบช็อกโกแลตประสบความสำเร็จด้วยดี แต่ในแง่ของยอดขายและสร้างรายได้ กลับไม่น่าพอใจมากนัก เนื่องจากผู้บริโภคไม่ได้ตอบรับสินค้าดีอย่างที่คาดหวังไว้ รวมถึง กระบวนการผลิตที่ยุ่งยากซับซ้อน ใช้บุคลากรมาก ทำให้เหลือกำไรสุทธิต่อหน่วยน้อยมาก
ถึงสินค้าตัวแรกจะไม่ฮอตเหมือนชื่อเล่นของเจ้าตัว แต่ประสบการณ์ในการลองผิดลองถูก โดยเฉพาะด้านการผลิตช็อกโกแลต กลายเป็นที่มาของการสร้างสรรค์สินค้านวัตกรรมตัวใหม่ คือ “ช็อกโกแลตทนความร้อน” เหมาะจะใช้ในการเคลือบขนมต่างๆ ได้ดีกว่าสินค้าทั่วไปในท้องตลาด
“จากที่ผมใช้ช็อกโกแลตมาเคลือบขนม ทำให้ต้องศึกษาเกี่ยวกับช็อกโกแลตมาก และเห็นปัญหาของช็อกโกแลตที่ขายทั่วไปในท้องตลาด จะละลายเร็ว ทนต่อความร้อนได้ต่ำ แค่อุณหภูมิประมาณ 30 องศาเซลเซียส จึงเคลือบขนมได้ยาก ผมเลยคิดสูตรช็อกโกแลตของตัวเองที่เคลือบขนมดียิ่งขึ้น ทนความร้อนที่จะละลายได้สูงขึ้นในอุณหภูมิ 35-40 องศาเซลเซียส
และหลังจากคิดนวัตกรรมนี้ได้แล้ว ผมก็คิดต่อว่า ผู้ผลิตสินค้าขนมคนอื่นๆ ที่ต้องใช้ช็อกโกแลต ก็ต้องมีปัญหาเหมือนผมเช่นกัน เลยเกิดเป็นการต่อยอดธุรกิจ ผลิตวัตถุดิบช็อกโกแลตทนความร้อน เพื่อจะขายส่งให้ผู้ผลิตสินค้าเกี่ยวกับการทำเบเกอรี่ต่างๆ”
จินต์ธนพงษ์ เสริมด้วยว่า หัวใจสำคัญที่ทำให้ช็อกโกแลตสามารถทนความร้อนในการละลายได้ในอุณหภูมิสูงขึ้น มาจากสูตรส่วนผสมของวัตถุดิบ 3 ตัว ซึ่งเป็นความลับไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนเรื่องรสชาติเหมือนกับช็อกโกแลตตามปกติ
“ใน จ.พิษณุโลก มีผู้ผลิตกล้วยแปรรูปเคลือบช็อกโกแลตหลายราย ผมเลยเริ่มนำสินค้าไปให้เขาทดลองใช้ ซึ่งหลังจากเขาไปใช้แล้ว ปรากฏว่า ใช้งานได้ดี มีการสั่งออเดอร์มาอย่างต่อเนื่อง จากนั้น ผมก็ขยายไปยังกลุ่มผลิตอื่นๆ เช่น กลุ่มผู้ผลิตมะขามเคลือบช็อกโกแลต แถบ จ.เพชรบูรณ์ ตามด้วยกลุ่มผู้ผลิตลำไยเคลือบช็อกโกแลต ทางภาคเหนือ รวมถึง เสนอไปยังกลุ่มผู้ผลิตเบเกอรี่ต่างๆ”
อดีตหนุ่มแบงก์ ระบุว่า ค้นเจอกลุ่มลูกค้าที่น่าสนใจ นั่นคือ ผู้ผลิตสินค้าขนมและเบเกอรี่ที่ต้องการใช้วัตถุดิบที่ง่ายและสะดวกในการผลิต จากนั้น ขยายต่อในการสร้างนวัตกรรม “วิปครีมแบบผง” สามารถเก็บได้นานในอุณหภูมิปกติกว่า 1 ปี และใช้งานง่ายแค่นำมาผสมกับน้ำ
สำหรับความรู้ในการคิดค้นนวัตกรรมต่างๆ นั้น เขาอธิบายว่า ส่วนใหญ่จะคิดค้นขึ้นเอง อาศัยการลองผิดลองถูก ประกอบกับขอรับคำปรึกษาจากการเข้าบ่มเพาะธุรกิจวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม จากอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือตอนล่าง มหาวิทยาลัยนเรศวร
“จากที่ผมมีประสบการณ์ทำขนมมาก่อน ทำให้เห็นปัญหาว่า สินค้าที่ขายในท้องตลาด ยังไม่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ผลิตขนมหรือเบเกอรี่มากนัก แผนธุรกิจของผม จึงหันมามุ่งจะมาแก้ปัญหานี้ โดยสร้างนวัตกรรมเพื่อจะมาช่วยเพิ่มความสะดวกสบายโดยตรง ซึ่งโดยเฉพาะสินค้าของผมราคาจะสูงกว่าสินค้าชนิดเดียวกันในท้องตลาด 20% แต่ด้วยการใช้งานที่ง่าย ลูกค้าเลยยินดีจะจ่ายมากขึ้น แลกกับความสะดวกสบายที่มากกว่า”
เขาระบุด้วยว่า หลังจากออกนวัตกรรม “ช็อกโกแลตทนความร้อน” กับ “วิปครีมแบบผง” ช่วยสร้างรายได้เพิ่มจากตอนขาย “ขนมผิงชุบช็อกโกแลต” กว่า 20% และที่สำคัญกว่านั้น คือ ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายลงถึง 50% เนื่องจากขนมผิงชุบช็อกโกแลต มีขั้นตอนยุ่งยาก ต้องใช้แรงงานกว่า 20 คน แต่สำหรับ“ช็อกโกแลตทนความร้อน” กับ “วิปครีมแบบผง” ใช้แรงงานผลิตแค่ 5 คนเท่านั้น เบ็ดเสร็จแล้ว การเปลี่ยนจุดยืนของธุรกิจจากผู้ผลิตขนมสำเร็จรูปบรรจุซองขายปลีก มาเป็นผู้ผลิตขายส่งวัตถุดิบเพื่อไปใช้การทำขนมเบเกอรี่ ช่วยให้ธุรกิจมีผลประกอบการดีขึ้นถึง 70%
สำหรับแผนธุรกิจก้าวต่อไปนั้น จินต์ธนพงษ์ระบุว่า ในส่วนขนมผิงชุบช็อกโกแลต จะเป็นแค่สินค้าที่รักษาไว้เท่านั้น ในฐานะสินค้าแจ้งเกิด แต่จะไม่ขยายกำลังผลิตหรือทำตลาดเพิ่มแล้ว โดยจะหันมาเน้นการทำนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเพื่อขายส่งให้แก่ผู้ผลิตเบเกอรี่ ตั้งเป้าว่า จะต้องมีสินค้าใหม่อย่างน้อย 1 ชิ้นต่อปี
อดีตหนุ่มแบงก์ที่ก้าวมาเป็นเถ้าแก่ แม้สินค้าตัวแรกจะไม่เปรี้ยงปร้างอย่างหวัง แต่ด้วยการปรับตัว หาตลาดใหม่ที่เหมาะสมจนเจอ วันนี้ แบรนด์ “ปั้นแป้ง” พบหนทางเดินธุรกิจของตัวเองแล้ว ในฐานะผู้ผลิตสินค้านวัตกรรมเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ผลิตขนมและเบเกอรี่โดยเฉพาะ
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *