สถาบันอาหารเผยซาอุดีอาระเบียไฟเขียวส่งเสริมให้นักลงทุนต่างชาติมีกรรมสิทธิ์ 100% ในธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง เชื่อค้าปลีกอาหารได้รับอานิสงส์เติบโตสูง คาดปี 59 การบริโภคอาหารในประเทศจะมีมูลค่าอยู่ที่ 113,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2560 ยอดขายปลีกอาหารจะแตะอยู่ที่ 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า ศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร (http://fic.nfi.or.th) ได้จัดทำรายงานเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจค้าปลีกอาหารในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็น 1 ใน 6 ของกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ หรือ GCC (ซาอุดีอาระเบีย คูเวต โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ และบาห์เรน) พบว่าในภาพรวมระหว่างปี 2557 ถึง 2562 ปริมาณการบริโภคอาหารในกลุ่มประเทศ GCC คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 3.5 โดยคาดว่าในปี 2562 ปริมาณการบริโภคอาหารทั้งภูมิภาคจะอยู่ที่ 51.9 ล้านเมตริกตัน เนื่องจากมีการขยายตัวของประชากร คาดว่าเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 2.4 จาก 50 ล้านคนในปี 2558 เป็น 57.6 ล้านคนในปี 2562 ทั้งมีแนวโน้มที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 3 ในปี 2562
ทั้งนี้ รายได้ของประชากรในกลุ่มประเทศ GCC คาดว่าต่อคนต่อหัวจะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 2.5 ในปี 2562 ส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกบริโภค โดยจะสนใจซื้ออาหารที่มีราคาสูงเพิ่มมากขึ้น เช่น สินค้าเกษตรอินทรีย์ เนื้อหมัก นมปรุงแต่ง และอาหารพร้อมปรุง ส่วนธัญพืชเป็นหมวดสินค้าอาหารที่มีการบริโภคมากที่สุดในภูมิภาค โดยคาดว่าในปี 2562 จะมีสัดส่วนถึงร้อยละ 46.5 ของปริมาณการบริโภคอาหารทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีการบริโภคอาหารมากที่สุดในกลุ่มประเทศ GCC หรือคิดเป็นร้อยละ 60 ของปริมาณการบริโภคอาหารทั้งหมด สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของประชากรในประเทศ โดยมีจำนวนประชากรเกือบ 2 เท่าของสมาชิกที่เหลืออีก 5 ประเทศรวมกัน ทั้งยังเป็นผู้นำเข้าสินค้าอาหารและการเกษตรรายใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศ GCC คือราวร้อยละ 80 ของความต้องการบริโภคในประเทศ คาดการณ์ว่าซาอุดีอาระเบียจะมีประชากรประมาณ 40 ล้านคนในปี 2568 ด้วยอัตราการเติบโตร้อยละ 3 ต่อปี นอกจากนี้ จากการเติบโตทางเศรษฐกิจช่วยให้รายได้ต่อหัวของคนในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มีการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต และมีความต้องการการบริโภคสินค้าอาหารที่มีคุณภาพสูงมากขึ้น ในปี 2559 คาดการณ์ว่าการบริโภคอาหารในประเทศจะมีมูลค่าอยู่ที่ 113,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจุบันจำนวนไฮเปอร์มาร์เกตในซาอุดีอาระเบียยังมีค่อนข้างน้อยหรืออยู่ที่ประมาณ 220 แห่ง เช่น Panda, Carrefour, Danube เป็นต้น ซูเปอร์มาร์เกตมีประมาณ 680 แห่ง เช่น Panda, Al-Othaim, Farm, Al Raya, Tamimi, Bin Dawood เป็นต้น ส่วนร้านสะดวกซื้อมีอยู่ประมาณ 39,540 แห่ง อาทิ Panda มีสัดส่วนยอดขายคิดเป็นร้อยละ 22 ร้อยละ 23 และร้อยละ 55 ของยอดขายปลีกอาหารทั้งหมดตามลำดับ จากการขยายตัวของร้านค้าปลีกโดยเฉพาะไฮเปอร์มาร์เกตและซูเปอร์มาร์เกต คาดการณ์ว่าในปี 2560 ยอดขายปลีกอาหารจะแตะอยู่ที่ 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายของภาครัฐ โดยองค์กรส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย (Saudi Arabian General Investment Authority - SAGIA) ได้ออกกฎระเบียบใหม่ โดยอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติมีกรรมสิทธิ์ 100% ในธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งซาอุดีอาระเบีย โดยจะเริ่มใช้ในปี 2559 ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในซาอุดีอาระเบียมากยิ่งขึ้น ย่อมส่งผลดีในหลายๆ ด้าน เช่น การปรับโครงสร้างของภาคธุรกิจในซาอุดีอาระเบีย การเพิ่มผลผลิต การเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเพิ่มโอกาสในการจ้างงานของคนในซาอุดีอาระเบีย
“สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจนำสินค้าอาหารเข้าสู่ตลาดซาอุดีอาระเบีย ควรเป็นสินค้าอาหารพร้อมรับประทานที่มีความสะดวกและง่ายในการรับประทาน อีกทั้งควรวางจำหน่ายในช่องทางค้าปลีกสมัยใหม่ เพราะเป็นช่องทางหลักที่ผู้บริโภคในเมืองเลือกซื้อสินค้า ทั้งนี้ควรตั้งราคาจำหน่ายให้ใกล้เคียงกับประเทศที่ส่งสินค้าไปขายในภูมิภาคนี้ เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และสิงค์โปร์ เน้นผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ และมองหาสินค้าที่มีคุณภาพสูง และจากจำนวนประชากรในวัยหนุ่มสาวที่เพิ่มจำนวนขึ้นในกลุ่มประเทศ GCC ทำให้สื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจึงควรให้ความสนใจกับช่องทางนี้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการสื่อสารกับผู้บริโภคโดยตรง” ผอ.สถาบันอาหารกล่าว
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *