เมื่อกลุ่มเพื่อนสนิทเรียนคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มาด้วยกัน ร่วมทำธุรกิจเครื่องสำอาง แบรนด์ “สมูทโตะ” (SMOOTO) โดยหยิบ “มะเขือเทศ” เป็นพระเอก แล้วเติมนวัตกรรมสร้างความโดดเด่น นำเสนอในภาพลักษณ์ญี่ปุ่น และหาช่องทางตลาดเหมาะสม กลายเป็นสูตรสำเร็จขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตก้าวกระโดด เพียง 3 ปีมียอดขายทะลุร้อยล้านบาท
บริษัท โกลบอล เมดดิคัล (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2556 โดย “ภญ.อัญชลี ชุติไพจิตร” “ภญ.นิษฐกานต์ ภัทรกานต์” และ “ภก.วาที รัตนวิสาลนนท์” มีพื้นฐานความรู้ และประสบการณ์ผลิตเครื่องสำอาง ประกอบกับฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง สามเพื่อนซี้ร่วมลงทุนหลักล้านบาท บุกเบิกธุรกิจเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ตัวเอง
ภญ.อัญชลี ในฐานะกรรมการผู้จัดการ เล่าว่า วางจุดยืนเป็นเครื่องสำอางคุณภาพดีในราคาไม่สูง โดยเลือกใช้ “มะเขือเทศ” เป็นวัตถุดิบหลัก เพราะคนทั่วไปรับรู้อยู่แล้วว่าเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์ช่วยบำรุงผิวพรรณ
“จากแนวคิดอยากทำเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณ เราเลยเลือกจะใช้มะเขือเทศ เพราะมีองค์ประกอบ “ไลโคปีน” (Lycopene) ปริมาณสูง รวมถึงใช้เทคโนโลยีสารสกัดจากประเทศญี่ปุ่น แล้วพัฒนาสูตรให้เหมาะกับสภาพผิวของคนไทย ขณะเดียวกัน ชูภาพลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่น เพราะคนไทยมีความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ ซึ่งการสื่อสารความเป็นญี่ปุ่นนั้น ชื่อแบรนด์ก็มาจากคำว่า “สมูทตี้” (SMOOTHIE) บ่งบอกว่าเป็นสินค้าธรรมชาติ แล้วเล่นคำเป็น “สมูทโตะ” เพื่อให้ออกเสียงคล้ายภาษาญี่ปุ่น” เจ้าของธุรกิจเสริม
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากทำงานในสายเภสัชกรรมมาตลอด เชี่ยวชาญเฉพาะการวิจัยพัฒนาและการผลิต ส่วนเชิงตลาดอ่อนด้อย ในปีแรกนั้นยอดขายน้อยมาก แค่ประมาณ 3 ล้านบาท สาเหตุที่ธุรกิจไม่เป็นไปตามคาดเพราะช่องทางตลาดไม่ตรงกับลูกค้าเป้าหมาย ขายผ่านตัวแทนค้าส่งเครื่องสำอางทั่วไป ทำให้สินค้าจมหายไปกับแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาด
แนวทางปรับตัว ในปีที่สองพยายามมุ่งหาช่องทางตลาดใหม่ๆ จนสะดุดตากับชั้นวางสินค้าโซนกลุ่มเอสเอ็มอีในร้าน “เซเว่นอีเลฟเว่น” (7-11) ที่มีเครื่องสำอางบรรจุซองเล็กๆ วางขายอยู่หลายยี่ห้อ ทำให้ปิ๊งช่องทางตลาดที่เหมาะกับแบรนด์สมูทโตะอย่างยิ่ง เลยลองนำสินค้าไปเสนอบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด ในที่สุดได้รับพิจารณาให้ทดลองขายในร้าน 7-11 เบื้องต้นจำนวน 100 สาขา
“จากที่ได้พัฒนาสินค้าร่วมกับทีม 7-11 นำมาสู่การปรับบรรจุภัณฑ์ให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายวัยรุ่น ที่ต้องการซื้อเครื่องสำอางธรรมชาติในราคาไม่สูงนัก จากเคยขายเป็นขวด ก็เปลี่ยนเป็นซอง และบนซองสกรีนลายและสีสันสดใส รวมถึงออกแบบฝาปิดให้ใช้งานสะดวก เหล่านี้ช่วยลดต้นทุนผลิต ดึงดูดใจลูกค้าให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น” เภสัชกรสาวเผย
ช่องทางตลาดใหม่ที่เหมาะสม ประกอบกับกระแสบอกต่อในหมู่ผู้ใช้ และถูกแนะนำผ่านโลกออนไลน์ ทั้งเน็ตไอดอลนำไปใช้ และรีวิวโดยบิวตี้บล็อกเกอร์ นอกจากนั้นยังทำโรดโชว์แหล่งกลุ่มเป้าหมาย เช่น มหาวิทยาลัย และงานรับปริญญา ช่วยให้ปีที่ 2 ของธุรกิจยอดขายกระโดดเป็น 53 ล้านบาท และปีที่แล้ว (2558) ยอดพุ่งทะยานเป็นกว่า 152 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้กว่า 65% มาจากขายผ่านร้าน 7-11 ที่ปัจจุบันวางขายครบทุกสาขากว่า 8,000 จุดทั่วประเทศ ส่วนยอดขายที่เหลือผ่านบิวตี้ชอปต่างๆ
จุดเด่นของ “สมูทโตะ” คือ มุ่งสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้แก่สินค้า ทั้งหมดคิดค้นโดยทีมนักวิจัยและพัฒนาตัวจริงเสียงจริง จำนวน 6 คน ซึ่ง 3 ใน 6 คือผู้ก่อตั้งธุรกิจนั่นเอง รวมถึงสินค้าทุกตัวที่พัฒนาขึ้นล้วนมีผลงานวิจัยเชิงวิชาการสนับสนุน โดยนวัตกรรมที่โดดเด่นคิดค้นสารสกัดไลโคปีนความเข้มข้นสูง ใน 1 ซองมีค่าเทียบเท่าผลมะเขือเทศถึง 10 ลูก ไม่เท่านั้น ยังนำวัตถุดิบอื่นๆ อย่าง เมือกหอยทาก น้ำผึ้ง และเต้าหู้ญี่ปุ่น ฯลฯ มาใส่นวัตกรรมเกิดเป็นเครื่องสำอางแปลกใหม่
ภญ.อัญชลีเสริมว่า ก่อนจะออกสินค้าใดๆ ก็ตาม จะเริ่มจากสำรวจว่าตลาดมีความต้องการสินค้านั้นๆ อย่างแท้จริง แล้วจึงย้อนกลับมาพัฒนาสินค้าให้ตอบความต้องการดังกล่าวให้ได้
“การนำมะเขือเทศมาใช้เป็นสารสกัด ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการเครื่องสำอาง แต่เรานำวัตถุดิบที่ดีอยู่แล้วมาพัฒนาให้โดดเด่นยิ่งขึ้น แล้วนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างกว่าสินค้าในท้องตลาด นอกจากนั้น การจับตลาด “วัยรุ่น” จำเป็นต้องตามกระแสแฟชั่นให้ทันด้วย เพราะวัยรุ่นจะทดลองและค้นหาเครื่องสำอางใหม่ไปเรื่อยๆ เช่น ช่วงนี้ฮิตเครื่องสำอางช่วยให้ผิวขาว เราก็ต้องพัฒนาสินค้าให้ออกมาตอบความต้องการของลูกค้าได้ทัน และที่สำคัญ มีการสำรวจตลาดเสียก่อน เพื่อรู้พฤติกรรมผู้บริโภคว่ารู้สึกอย่างไรต่อสินค้าที่เราพัฒนาขึ้น ถ้าผลสำรวจออกมาดีค่อยลงมือผลิตเพื่อส่งลงตลาด” เธอระบุเสริม
ปัจจุบันแบรนด์สมูทโตะมีสินค้ากว่า 30 รายการ ราคาตั้งแต่ 29-129 บาท กลุ่มลูกค้าหลักคือ สุขภาพสตรีวัยรุ่นจนถึงวัยทำงาน ส่วนแหล่งวัตถุดิบมะเขือเทศสดรับซื้อจากกลุ่มเกษตรกรที่ทำสัญญาร่วมกัน ปริมาณรับซื้อกว่า 10 ตันต่อปี โดยมะเขือเทศที่เลือกใช้ส่วนใหญ่คือ “พันธุ์เชอรี่” เนื่องจากปริมาณมาก หาง่าย และมีสารไลโคปีนสูง ส่วนด้านการผลิต ทำในโรงงานที่ได้มาตรฐานครบถ้วน เฉลี่ยปริมาณการผลิตกว่า 1.5 ล้านซองต่อปี
สำหรับเป้ายอดขายปีนี้ (2559) คาดเกิน 200 ล้านบาท โดยอาศัยกลยุทธ์ธุรกิจ “3 new” ได้แก่ “New Product” ออกสินค้าใหม่ทุกเดือน “New Brand” แตกแบรนด์ใหม่ “สาวสยาม” เป็นเครื่องสำอางจากสารสกัดสมุนไพรไทยโบราณ แบรนด์ “Crocodile Siam” จากว่านหางจระเข้ เป็นต้น และ “New Customer” ขยายกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเยือนเมืองไทย และขยายตลาดส่งออกต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มอาเซียน ซึ่งมีพื้นฐานชื่นชอบสินค้าจากประเทศไทยอยู่แล้ว
ระยะเวลาแค่ 3 ปีผลักดันธุรกิจจนยอดขายทะลุร้อยล้าน และด้วยการพัฒนาไม่หยุดยั้ง ทั้งด้านสินค้าและการตลาด เป้า 200 ล้านบาทจึงไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *