เพราะเธอใช้มาแล้วกับตัวเอง จนรู้ลึกรู้จริง และแน่ใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ นี่เป็นหัวใจผลักดันให้ธุรกิจนำเข้าเครื่องสำอางแบรนด์ดังจาก “ประเทศญี่ปุ่น” ของ “จิลมิกา เฉลิมสุข” หรือ “ฟ้า” นักธุรกิจสาวสวย ประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นที่ส่งลงตลาดล้วนผ่านการเลือกเฟ้นแล้วว่า ยอดเยี่ยมที่สุด จนสร้างความเชื่อมั่น และตอบความต้องการของสาวไทยยุคไม่หยุดสวยเป็นอย่างดี
สาวเก่งเจ้าของ บริษัท ทูเดอะนายน์ จำกัด และบริษัท ฟราโครา (ประเทศไทย) จำกัด เริ่มต้นธุรกิจนำเข้าเครื่องสำอางจากประเทศญี่ปุ่นเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว เพราะส่วนตัวแล้วเธอนับเป็นตัวแม่ด้านความงามตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ไม่ว่าจะมีผลิตภัณฑ์ความงามใดๆ ที่ใครบอกว่าดีว่าเด่น ต้องเสาะแสวงหามาทดลองใช้จนกลายเป็นความชำนาญ
และเมื่อมีโอกาสทดลองใช้ที่ปัดขนตา แบรนด์ “Fairy drops” ของญี่ปุ่น ก็ตกหลุมรักในคุณสมบัติยอดเยี่ยม แต่กลับหาซื้อในเมืองไทยไม่ได้ กลายเป็นแรงบันดาลใจอยากทำธุรกิจนำเข้าเครื่องสำอางตัวนี้มาขายเอาใจสาวไทย
อย่างไรก็ตาม เวลานั้นคุณฟ้าเป็นเพียงสาววัยยี่สิบกลางๆ ไม่มีประสบการณ์ใดๆ ในวงการนำเข้าเครื่องสำอางมาก่อนเลย แต่ต้องไปติดต่อกับบริษัทญี่ปุ่นเจ้าของผลิตภัณฑ์ แบรนด์ “Fairy drops” รวมถึงเวลานั้นยังมีบริษัทขนาดใหญ่ของไทยอีก 2 แห่งเป็นคู่แข่ง เสนอตัวขอรับหน้าที่ตัวแทนนำเข้าเช่นกัน
โอกาสแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับการพิจารณาเป็นตัวแทนนำเข้า แต่ด้วยความรู้ลึกรู้จริงในผลิตภัณฑ์ และที่สำคัญคือ ความรักในตัวผลิตภัณฑ์ที่สื่อสารออกมาชัดเจนจนเจ้าของแบรนด์ญี่ปุ่นรับรู้ได้ เลยตัดสินใจให้คุณฟ้าเป็นตัวแทนนำเข้ารายเดียวในเมืองไทย
“ตอนที่ฟ้าทำแผนธุรกิจไปให้เจ้าของแบรนด์พิจารณา เขาชื่นชมมาก เพราะเห็นถึงความตั้งใจจริงของเรา แต่ตอนนั้นเราเป็นหน้าใหม่รายเล็กๆ ขณะเดียวกันต้องไปแข่งกับบริษัทรายใหญ่อีก 2 ราย ซึ่งเบื้องต้นเจ้าของแบรนด์บอกว่า ถึงจะชื่นชมเรา แต่ก็ต้องเลือกบริษัทใหญ่ เพราะตอนนั้นเรายังไม่ได้จดตั้งเป็นบริษัทด้วยซ้ำ ทำเองคนเดียวทุกอย่าง ไร้ประสบการณ์ มีแค่ความตั้งใจมา แต่แล้วในที่สุดเจ้าของแบรนด์เลือกให้ฟ้าเป็นตัวแทน เพราะเขาบอกว่าเห็นถึง passion ที่ฟ้ามีต่อสินค้าเขาและมีการตลาดน่าสนใจ ในขณะที่อีก 2 บริษัทใหญ่ ไม่เข้าใจถึงแบรนด์อิมเมจของบริษัท หวังแต่ในเชิงธุรกิจ โดยมองข้ามถึงคุณภาพที่ต้องการส่งต่อให้ผู้ใช้อย่างที่เขาต้องการ” สาวคนสวยเล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นอย่างออกรส
จากเคยคิดว่าการทำธุรกิจนำเข้าแค่ซื้อของต่างประเทศมาขายคนไทย ทว่า ในความเป็นจริงขั้นตอนสลับซับซ้อนและยุ่งยากเกินคาด คุณฟ้าเล่าว่า ช่วงแรกลุยตัวคนเดียวทุกอย่าง ไม่เคยมีความรู้ใดๆ ในการนำเข้าสินค้ามาก่อนเลย ทั้งเรื่องกฎระเบียบ ภาษี พิกัดศุลกากร ฯลฯ ก่อให้เกิดปัญหารุมเร้าสารพัด บทเรียนหนึ่งที่จำได้ คือ หลังจากผลิตภัณฑ์ชุดแรกส่งมาถึงเมืองไทย ปรากฏว่าต้องมีภาระภาษีจ่ายเป็นเงินสดที่หน้าด่านทันทีถึง 2 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้สำรองเงินส่วนนี้ไว้ก่อน เลยต้องนำเงินที่กันสำรองไว้ใช้ส่วนอื่นๆ มาจ่าย ทำให้กระทบทุนหมุนเวียนตั้งแต่เริ่ม
แม้จะเริ่มต้นด้วยอุปสรรค แต่จากคุณภาพผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยม ประกอบกับอาศัยวิธีทำตลาดอย่างเข้าใจ โดยอาศัยส่งให้ “บิวตี้ บล็อกเกอร์” นำไปใช้เพื่อรีวิว กระตุ้นตลาดเกิดความสนใจ และบอกต่อ กลายเป็นผลิตภัณฑ์สุดฮิต ยอดขายทะลุหลักแสนบาทตั้งแต่เดือนแรก และเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในเดือนต่อๆ มา
“เบื้องต้นฟ้าใช้เปิดตัวขายใน tops supermarket แค่ 10 สาขา วิ่งไปส่งเอง จัดสินค้าเอง พอวางขายได้ไม่นานผลตอบรับก็ดีเกินคาด เกิดกระแสบอกต่อ คนตามไปซื้อใน tops จนของขาดตลาด รวมถึงได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าที่ไปเขียนในบอร์ดต่างๆ ว่า เมื่อก่อนขนตาปัดไม่เคยขึ้นเลย แต่พอใช้ตัวนี้แล้วมันงอน แค่นี้ก็หัวใจพองโตแล้วค่ะ ยิ่งทำให้ฟ้ามีพลัง จากนั้นฟ้าก็ทยอยนำเข้าเครื่องสำอางญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น”
เธอยอมรับว่าด้านความงามเป็นคนจิกจุกตัวแม่ ดังนั้น หลักสำคัญในการคัดเลือกสินค้า อันดับแรก สินค้าทุกชิ้น ทุกแบรนด์ต้องเคยลองใช้เองมาหมดแล้ว ถ้าอันไหนไม่ดีจริงก็ไม่นำเข้ามาขายให้ลูกค้าเด็ดขาด เพราะถือเป็นการซื่อสัตย์ต่อลูกค้า
นอกจากนั้น สินค้าทุกตัวจะต้องผลิตในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น รวมถึงต้องได้รับรางวัลด้านเครื่องสำอางจากในประเทศญี่ปุ่นและนานาชาติการันตีคุณภาพ และยังขยายธุรกิจด้วยการไปจับมือเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับแบรนด์ “ฟราโครา” (fracora) ภายใต้บริษัท เคียววะ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางรายใหญ่ของญี่ปุ่น อายุมากกว่า 50 ปี โดยรับสิทธิ์เป็นผู้นำเข้าแบรนด์ “ฟราโครา” รายเดียวในเมืองไทย
ปัจจุบัน บริษัท ทูเดอะนายน์ จำกัด และบริษัท ฟราโครา (ประเทศไทย) จำกัด นำเข้าสินค้าประมาณ 10 แบรนด์ดัง เช่น Fairy Drops, Candy Doll, Bonavoce, Avance, Usako, White Ichigo, Fracora และ LB เป็นต้น รวมกว่า 181 รายการ ผ่านช่องทางขายกว่า 1,500 แห่งทั่วประเทศ ทั้งร้านค้าปลีก ซูเปอร์มาร์เกต และยังมีเคาน์เตอร์แบรนด์ ‘Jill Mika’ ของตัวเองในห้างสรรพสินค้าด้วย ผลประกอบการในปี 2558 ที่ผ่านมาประมาณ 80 ล้านบาท
กว่าจะมาถึงความสำเร็จในวันนี้ จิลมิการะบุด้วยว่า นอกเหนือจากต้องเฟ้นผลิตภัณฑ์คุณภาพให้โดนใจลูกค้าแล้ว อีกประการคือ การวางแผน “การเงิน” อย่างถูกต้องเหมาะสม โดยเฉพาะการทำธุรกิจกับบริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางญี่ปุ่น ข้อตกลงต้องซื้อขาดจ่าย “เงินสด” โดยใช้เงินสกุล “เยน” ญี่ปุ่นเท่านั้น ขณะเดียวกันยังต้องหักส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ร้านค้าที่วางจำหน่ายด้วย ดังนั้น กำไรสุทธิที่เหลือจริงค่อนข้างน้อย หากตัดสินใจผิดพลาดในการวางแผนการเงิน โดยเฉพาะเรื่องแลกเปลี่ยนเงินตรา แทนที่จะกำไรอาจกลับกลายเป็นขาดทุน
บทเรียนจากอดีต เมื่อผ่านการเรียนรู้และพัฒนาต่อเนื่อง ปัจจุบันเคาน์เตอร์แบรนด์ ‘Jill Mik’ ก้าวยืนอยู่หัวแถวผู้นำเข้าเครื่องสำอางแบรนด์ญี่ปุ่น พร้อมต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางกระจายผลิตภัณฑ์ความงามจากญี่ปุ่นไปยังตลาดอาเซียนโดยปี 2559 นี้คาดผลประกอบการจะเติบโตอีก 2 เท่าตัว
สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มหนุ่มสาว start up ที่มีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง คุณฟ้าแนะนำว่า ก่อนจะทำธุรกิจใดๆ ก็ตามต้องเตรียมตัว เตรียมใจไว้ว่าปัญหาจะตามมาเสมอ แม้ว่าจะเตรียมไว้พร้อมเพียงใด ในความเป็นจริงจะต้องมีปัญหาอื่นๆ ให้ต้องแก้ไขแน่ ถ้าเตรียมตัวและเตรียมใจ จะค่อยๆ แก้ไขปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *