โดยมากการถนอมอาหารประเภทผลไม้ด้วยวิธี “ลอยแก้ว” มักจะทำกับผลไม้อย่าง “สละ” และ “กระท้อน” แต่สำหรับ “สวนงามลมัย” ที่ ต.ท่าทราย จ.นครนายก นำผลผลิต “มะดัน” ที่ปลูกจากสวนมาแปรรูปลอยแก้วเพิ่มมูลค่า นับเป็นตัวอย่างของเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ไม่รอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยแก้ แต่มุ่งพัฒนาอาชีพเดิมให้เติบโต ควบคู่ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
นงนุช เทียมณรงค์ เจ้าของสวนงามลมัย เล่าว่า จ.นครนายก ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่เหมาะแก่การปลูกมะดันอย่างยิ่ง โดยครอบครัวของเธอยึดอาชีพทำสวนปลูกมะดันมายาวนาน มีพื้นที่ปลูกกว่า 20 ไร่ ที่ผ่านมาจะมีพ่อค้าและตัวแทนเข้ามารับซื้อถึงสวน แทบไม่มีปัญหาเรื่องราคาตกต่ำเลยเพราะมะดันขายได้ราคาดีเสมอ ปีที่ผ่านมา ประมาณกิโลกรัมละ 15 บาท เป็นที่พอใจของเกษตรกรผู้ปลูกทั่วไปอย่างยิ่ง
แม้ว่าผลผลิตจะได้ราคาดีเสมอ มีตลาดรองรับซื้อแน่นอน แต่สำหรับผู้ประกอบการรายนี้กลับไม่ประมาท เพราะรู้ดีว่าสินค้าการเกษตรหากจะเน้นขายเฉพาะผลสดอย่างเดียว อาจจะเกิดปัญหาราคาตกต่ำ หรือสินค้าล้นตลาดได้ ดังนั้น ได้คิดถึงการนำมาแปรรูป ซึ่งจากคุณสมบัติของมะดันที่มีรสเปรี้ยว การทำลอยแก้วจึงเหมาะอย่างยิ่ง
“เรามีสวนมะดันของตัวเองอยู่แล้ว ทำให้มีวัตถุดิบผลสดจำนวนมาก เลยหาวิธีนำมาแปรรูป ซึ่งตามท้องตลาดทั่วไปมะดันมักถูกนำไปแปรรูปในลักษณะแช่อิ่ม ส่วนการนำมาทำลอยแก้วยังมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่เน้นทำแต่สละ กับกระท้อน อีกทั้งการลอยแก้ว มีความชุ่มฉ่ำและเปรี้ยวหนาวเย็นชื่นใจเหมาะกินคลายร้อน เลยคิดว่านำมะดันมาทำลอยแก้วน่าจะเหมาะสมที่สุด” นงนุชกล่าวนำ
สำหรับสูตรการลอยแก้วมะดัน เธอบอกว่า คิดค้นลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง วัตถุดิบที่ใช้ทำมะดันลอยแก้วนั้นมีเพียงผลมะดันสด น้ำตาล น้ำเปล่า และเกลือเท่านั้น โดยจะคัดเลือกมะดันผลสดที่มีลักษณะดีที่สุด ทั้งขนาดใหญ่และยาว สุกระดับปานกลาง สัดส่วนการแปรรูป มะดันสด 1 กิโลกรัมต่อการใช้น้ำตาลมาทำน้ำเชื่อมประมาณครึ่งกิโลกรัม ส่วนความยากอยู่ที่ขั้นตอนเลาะเมล็ดมะดันออกจากตัวเนื้อ ต้องใช้มีดแกะสลักผลไม้ค่อยๆ คว้านเมล็ดออก ถ้าไม่ชำนาญจะทำให้เนื้อมะดันฉีกขาดไม่สวยงาม
ส่วนด้านการผลิตนั้น เชิญชวนแม่บ้านในท้องถิ่นมาเป็นแรงงานเพื่อสร้างรายได้เสริม ขณะนี้มีสมาชิกประมาณ 30 คน ซึ่งนอกจากจะทำมะดันลอยแก้วแล้ว ยังทดลองแปรรูปสินค้าอื่นๆ จากมะดันด้วย เช่น น้ำมะดันพร้อมดื่ม และมะดันแช่อิ่ม เป็นต้น
ทั้งนี้ เริ่มทดลองนำมะดันลอยแก้วออกขายมาได้ประมาณ 1 ปีแล้ว ใช้ชื่อแบรนด์ว่า “งามลมัย” ตามชื่อสวน โดยใส่ในกระปุก บรรจุทั้งหมด 7 ลูก ขายในราคากระปุกละ 50 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับการขายแบบผลสดแล้วสามารถเพิ่มมูลค่าขึ้นได้หลายเท่าตัว
ด้านช่องทางตลาดนั้น อาศัยออกงานแสดงสินค้าต่างๆ ยอดขายโดยเฉลี่ยประมาณหลักหมื่นบาทต่อเดือน แม้ว่าจะยังไม่มาก แต่เธอระบุว่ น่าพอใจ เพราะยังเป็นเพียงแค่ระยะเริ่มต้น อยู่ระหว่างเริ่มทำการตลาด รวมถึงกำลังพัฒนาด้านต่างๆ ทั้งเรื่องของบรรจุภัณฑ์ให้สวยงามยิ่งขึ้น และสร้างมาตรฐานการผลิต เช่น ขอเครื่องหมายรับรอง อย. รวมถึงกำลังปรับปรุงด้านสถานที่ผลิต และทำห้องเย็นเพื่อเก็บผลผลิตมะดันไว้สำหรับนำมาแปรรูปได้ตลอดทั้งปี
จากปัญหาสินค้าเกษตรหลายตัวราคาตกต่ำ เช่น ข้าว และยางพารา ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกต้องพยายามดิ้นรนหันมาแปรรูปผลผลิต แต่สำหรับกลุ่มผู้ผลิตมะดันลอยแก้ว “งามลมัย” แล้ว ถึงแม้เวลานี้ผลผลิตยังขายได้ราคาดี แถมมีตลาดรับซื้อหมดอย่างแน่นอน แต่ก็เลือกจะลุกขึ้นมาแปรรูปผลผลิตต้นน้ำ และที่สำคัญ ประโยชน์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงแค่ตัวเองได้รับเท่านั้น ยังขยายไปสู่ชาวบ้านในท้องถิ่นที่จะมีรายได้เสริมด้วย
“ที่ดิฉันชักชวนให้เกษตรกรและชาวสวนในท้องถิ่นร่วมกันแปรรูปมะดันให้มากขึ้น เพราะคิดว่าพวกเรามีวัตถุดิบที่พร้อมอยู่แล้ว ถึงวันนี้ราคามันจะดี แต่อนาคตก็ไม่แน่อาจจะตกก็ได้ หากเรามีการแปรรูปไว้ด้วยก็ช่วยลดความเสี่ยง และยังเป็นอีกอาชีพเสริมในการสร้างรายได้เพิ่มด้วย” เธอกล่าว
โทร. 08-1733-1745
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *