กรมพัฒนาธุรกิจการค้าคิกออฟกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจอย่างเป็นทางการ ระดมผู้เกี่ยวข้องร่วมสัมมนาใหญ่ทำความเข้าใจตรงกัน ชี้ไฮไลต์กฎหมายฉบับนี้ปลดล็อกข้อจำกัดทางธุรกิจ ช่วย SMEs สามารถเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากที่พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 58 ที่ผ่านมา กรมพัฒนาธุรกิจการค้าในฐานะเป็นหน่วยงานรับจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ และเผยแพร่ข้อมูลการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ ได้เตรียมความพร้อมทั้งโครงสร้างภายในองค์กรและเจ้าหน้าที่เพื่อรองรับการให้บริการจดทะเบียนดังกล่าว โดยอีกด้านหนึ่งกรมฯ ได้เร่งสร้างความรู้ความเข้าใจกับหน่วยงานต่างๆ และบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ทุกภาคส่วนพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. 59 อย่างสมบูรณ์แบบ
สำหรับวันนี้ (3 ธ.ค. 58) กรมฯ ได้จัดสัมมนาเรื่อง กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ : ทางเลือกใหม่ SMEs เข้าถึงแหล่งทุน ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพ็คฟอรัม ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องและผู้ที่สนใจได้รับทราบแนวทาง รวมถึงโอกาสและประโยชน์ที่จะได้รับจากกฎหมายฉบับนี้ โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจได้แบ่งปันมุมมองทุกมิติทั้งในระดับโลก คือ 'ธนาคารโลก' มุมมองของ 'ภาครัฐ' และ 'ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ไทย' ซึ่งมีผู้เข้าสัมมนากว่า 1,300 คนในครั้งนี้
ทั้งนี้ การสัมมนาครั้งนี้จะช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์และได้เรียนรู้ประสบการณ์ตรงจากประเทศที่มีการใช้กฎหมายในลักษณะนี้แล้ว พร้อมกันนี้ยังได้ทราบถึงสาระของกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจที่เป็นตัวช่วยสำคัญให้ SMEs กว่า 2 ล้านรายที่ยังไม่เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มีโอกาสในการเติบโตสามารถขยายธุรกิจของตนเองต่อไป
สำหรับใจความสำคัญที่ถือเป็นไฮไลต์ของกฎหมายฯ คือ เมื่อผู้ให้หลักประกัน (ผู้ประกอบธุรกิจ) ต้องการจะขอกู้เงินจากผู้รับหลักประกัน (สถาบันการเงิน) เพื่อนำมาใช้ในกิจการ กฎหมายฉบับนี้ปลดล็อกข้อจำกัดของการจำนองโดย 'ขยายประเภททรัพย์สิน' ที่จะนำมาใช้เป็นหลักประกัน ครอบคลุมรวมไปถึงกิจการ สิทธิเรียกร้อง สังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สินทางปัญญา และ 'ไม่จำเป็นต้องส่งมอบทรัพย์สิน' ที่นำมาเป็นหลักประกันอีกต่อไป แตกต่างจากการนำทรัพย์สินไปจำนำเช่นในอดีต ทำให้ธุรกิจยังสามารถเดินหน้าสร้างรายได้ด้วยการใช้ทรัพย์สินนั้นผลิตสินค้าหรือบริการได้อย่างต่อเนื่อง
“นับว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นทางเลือกใหม่ของผู้ประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่ช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนยิ่งขึ้น เพื่อจะได้นำไปต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ อันจะเป็นการเพิ่มความสามารถและศักยภาพการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลกอีกทางหนึ่งด้วย” นางอภิรดีกล่าว
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *