รมช.พาณิชย์ชี้ไทยติดกับดักประเทศรายได้ปานกลางมายาวนาน จำเป็นต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศ ขับเคลื่อนด้วยทุนปัญญาและนวัตกรรม โดยมี 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นหัวหอก แนะ SMEs สร้างนวัตกรรมและร่วมพลังธุรกิจ ระบุ “SMEs” ต้องเป็น “Smart Enterprise”
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในงาน “SMEs นักรบเศรษฐกิจในยุคปรับฐาน” ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อให้เครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัทเทสโก้ โลตัส ประเทศไทย ว่า ประเทศไทยติดอยู่กับดักประเทศรายได้ปานกลาง “Middle Income Trap : M.I.T.” มาเป็นเวลานาน ถึงเวลาต้องเปลี่ยน เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจกันใหม่ เป็นการเปลี่ยนในระดับ “Fundamental Change” ไม่ใช่แค่ “Incremental Change” แบบเดิมๆ เป็นการช่วยกันถักทอ S-Curve เส้นใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตอย่างมีคุณภาพในศตวรรษที่ 21 เราจึงต้องสร้าง “นักรบทางเศรษฐกิจ” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพื่อเปลี่ยนจาก “ประเทศไทย 3.0” ที่ขับเคลื่อนด้วยเงินทุนและประสิทธิภาพของการผลิต ไปสู่ “ประเทศไทย 4.0” ที่ขับเคลื่อนด้วยทุนปัญญาและนวัตกรรมให้ได้
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนด 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในทศวรรษจากนี้ไป ประกอบด้วย 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่ไทยมีศักยภาพ ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และการแปรรูปอาหาร และ 2. กลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ การบินและลอจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพ และเคมีชีวภาพ ดิจิตอล และการแพทย์ครบวงจร
“กระทรวงพาณิชย์กำหนดคลัสเตอร์อุตสาหกรรมด้านบริการเป้าหมาย 6 กลุ่ม เพื่อสอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกที่จะย้ายจาก “Manufacturing-Based Industry” ไปสู่ “Service-Based Industry” มากขึ้นในอนาคต โดยคลัสเตอร์อุตสาหกรรมบริการเป้าหมาย ประกอบไปด้วย 1) Wellness & Medical Services : WMS, 2) Education, 3) Hospitality, 4) Trade Logistics, 5) Creative Economy และ 6) Professional Services ซึ่งคลัสเตอร์อุตสาหกรรมบริการเหล่านี้ นอกจากจะเป็นธุรกิจที่มีผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในตัวมันเอง ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็น Related & Supporting Industries ให้กับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายข้างต้นและอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกด้วย”
สำหรับประเทศอยู่ในโลกเสรี มีบางอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง บางอุตสาหกรรมต้องได้รับการเติมเต็มจากโลกภายนอก การค้าระหว่างประเทศในทศวรรษจากนี้ไปก้าวข้ามเรื่องของการนำเข้าส่งออกไปสู่การลงทุนสองทาง คือ Inward และ Outward Investment มากขึ้น ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมามีบริษัทไทยที่แข็งแรงเริ่มแสวงหาตลาดต่างประเทศผ่านการลงทุน การร่วมทุน หรือการซื้อหรือควบรวมกิจการมากขึ้น โลกเปลี่ยนจาก “One Country, One Market” เป็น “One World, One Market” ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยต้องทำงานร่วมกันกับคนอื่นในโลก “เปิด” ผ่าน 3 หลักการสำคัญที่ท่านนายกฯ ประยุทธ์ย้ำอยู่เสมอ คือ “Sustainability, Shared Prosperity และ Reciprocity”
นอกจากนั้น สิ่งสำคัญต้องทำให้ SMEs ไทยไปสู่เวทีโลกให้ได้ การตลาดยุคใหม่ในการทำธุรกิจ ประกอบด้วย 1) ต้องมีความสามารถในการแข่งขัน “Competency” 2) ต้องตอบโจทย์ลูกค้า “Customer Focus” 3) ต้องมีเครือข่ายที่มีพลัง “Collaborative Network” ดังที่ Professor C.K. Prahalad ได้กล่าวไว้ว่า The Future of Competition is Co-Creating Unique Value with Customers แต่การที่เราจะไปร่วมมือกับคนอื่น เราต้องมีความ “เข้มแข็ง” ด้วย ไม่ใช่ยืมจมูกคนอื่นหายใจอย่างเดียว
“SMEs สำหรับผม ไม่ใช่ “Small & Medium Enterprises” แต่เป็น “Smart Enterprise” ต่างหาก แต่การจะเป็น Smart Enterprise ในศตวรรษที่ 21 ก็ต้องเป็น Innovation-Driven Enterprise (IDE) อย่างที่ทางหอการค้าฯ และมหาวิทยาลัยหอการค้าฯ กำลังผลักดันอยู่ ในความคิดของผม กระแส Globalization กำลังถึงจุดอิ่มตัว และถูกตีกลับด้วยกระแส Regionalization, Localization, Urbanization และ Digitalization ดังนั้น การดำเนินธุรกิจใน “โลกใหม่” จึงมีชุดของโอกาสและภัยคุกคามชุดใหม่ ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมและผนึกกำลังกัน ผ่านพลัง “ประชารัฐ” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนร่วมกัน” นายสุวิทย์กล่าว
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *
