xs
xsm
sm
md
lg

แจ๋ว! เปิดตัว “สถานีชาร์จไฟ” มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า นวัตกรรมลดใช้พลังงาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สถานีประจุไฟฟ้า  ตั้งให้บริการอยู่ ณ บริเวณด้านหน้าสำนักงานอธิการบดี  มจธ.
ปัจจุบันจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย เฉพาะรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียน ณ ปี พ.ศ.2557 มีมากกว่าร้อยละ 38 ของจำนวนรถที่มีการจดทะเบียนทั้งหมดของประเทศ แต่เมื่อเทียบกับการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแล้วกลับยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก แม้ว่า ภาครัฐและหลายหน่วยงานจะส่งเสริมให้ใช้พาหนะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ามากขึ้นก็ตาม เพื่อการลดใช้พลังงานเชื้อเพลิงและลดมลพิษในภาคขนส่ง

เหตุนี้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)ได้เปิดสถานีประจุไฟฟ้า (Electric Motorcycle Charging Station)ภายใต้โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมการผลิตและใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กขึ้น ตั้งให้บริการอยู่ ณ บริเวณด้านหน้าสำนักงานอธิการบดี มจธ. ซึ่งนับเป็นแห่งที่สองของประเทศไทย ในโครงการนี้
ผศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล
ผศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล หัวหน้าโครงการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าว เป็นความร่วมมือกัน 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยขนแก่น , มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการร่วมสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) นับเป็นครั้งแรกของไทยที่มีการศึกษาเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กแบบบูรณาการ เพื่อทำการศึกษา รวบรวมข้อมูลจากการทดสอบใช้จริงจากผู้ที่ใช้รถจักรยานยนต์ในชีวิตประจำวัน และจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อนำเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งข้อมูลที่ใช้ในการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าต่อไป

ทั้งนี้ทางโครงการได้มีการดำเนินการติดตั้งสถานีประจุไฟฟ้าของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าขึ้นใน 3 พื้นที่ แห่งแรกที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ติดตั้งไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แห่งที่สองบริเวณด้านหน้าอาคารสำนักงานอธิการบดี มจธ. และกำลังจะเปิดอีกแห่งที่สามขึ้น ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

ขณะที่ทาง MTEC จะเข้ามาช่วยในการประเมินความคุ้มค่าด้านเศรษฐศาสตร์ สาเหตุที่เลือกทดสอบกลุ่มรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเพราะเห็นว่าปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ใช้รถจักรยานยนต์ถึง 20 ล้านคัน แต่มีผู้ใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าไม่ถึงร้อยละ 1 หรือคิดเป็นสัดส่วนแล้วไม่ถึง 10,000 คัน ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจึงไม่ได้รับความนิยม โดยเราจะนำรถที่มีขายอยู่ในตลาดให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้ทดลองใช้จริง เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งาน ความต้องการและความพึงพอใจ ซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงพัฒนาและการเพิ่มประสิทธิภาพของยานยนต์ไฟฟ้า
ตู้ตั้งระบบการชาร์จ
ผศ.ดร.ยศพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับวัตถุประสงค์ของโครงการ 1.เพื่อทดสอบและเก็บข้อมูลการใช้งานจริงของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และสำรวจทัศนคติของผู้ร่วมทดสอบ 2.เพื่อประเมินพฤติกรรมการใช้รถจักรยานยนต์ของผู้ใช้จักรยานยนต์ในกลุ่มต่าง ๆ และผู้ขับขี่ยานยนต์ขนาดเล็กโดยเน้นรถรับจ้างสาธารณะ รวมทั้งสาเหตุที่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยการใช้แบบสำรวจความคิดเห็นและให้มีการทดสอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า 3.เพื่อรับฟังความคิดเห็น ความพึงพอใจและข้อจำกัดของการใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้าจากกลุ่มผู้ใช้ที่ได้ทดลองขับขี่จักรยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ที่เกี่ยวข้องเพื่อหามาตรการในการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย 4.เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กให้เหมาะสมต่อการใช้งานของผู้ใช้ในหลายกลุ่ม 5. เพื่อประเมินผลกระทบในด้านเศรษฐศาสตร์ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม หากมีการขยายตัวของการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กและจักรยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย ในกรณีศึกษาต่างๆ 6. เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ รวมทั้งจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายพร้อมมาตรการต่างๆ เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตและส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กให้แพร่หลายต่อไป
ดร.ปิยธิดา ไตรนุรักษ์ นักวิจัยโครงการฯ มจธ.
ด้าน ดร.ปิยธิดา ไตรนุรักษ์ นักวิจัยโครงการฯ มจธ. เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้มีการสำรวจความพึงพอใช้ของผู้ใช้ 2 กลุ่มหลักๆ คือ บุคลากรและนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และกลุ่มที่สองคือ กลุ่มผู้มีอาชีพขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง สำหรับข้อมูลที่เก็บประกอบไปด้วยการสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้จักรยานยนต์ทั่วไปว่ามีความคิดเห็นอย่างไรต่อจักรยายนต์ไฟฟ้า ซึ่งระหว่างการสำรวจได้มีการเปิดโอกาสให้ผู้แสดงความคิดเห็นได้ทดลองขับจักรยานยนต์ไฟฟ้าระยะสั้นๆ ภายในมหาวิทยาลัย

สำหรับผลจากการสำรวจพบว่ากลุ่มที่เป็นบุคลากรและนักศึกษาในมหาวิทยาลัย 100 ตัวอย่าง ส่วนใหญ่ใช้รถจักรยานยนต์ประมาณ 6-10 กิโลเมตรต่อวัน คิดเป็นค่าเชื้อเพลิงประมาณ 100-200 บาท ต่อสัปดาห์ ซึ่งเมื่อทดลองขับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในระยะสั้นๆ พบว่า ยังไม่พึงพอใจในเรื่องระยะเวลาในการประจุไฟฟ้า เนื่องจากต้องใช้เวลานานถึง 6-8 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง แม้จะมีอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่า รถมอเตอร์ไซด์ทั่วไป คือ รถไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายเพียง 10 สตางค์ต่อ 1 กิโลเมตร ในขณะที่รถมอเตอร์ไซด์ทั่วไปมีค่าใช้จ่าย 90 สตางค์ต่อ 1 กิโลเมตร
ทดสอบการใช้งาน
นอกจากนี้ยังไม่พึงพอใจในเรื่องความเร็วถูกจำกัดสูงสุดเพียง 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตำแหน่งการนั่งของผู้ขับขี่ยังไม่ตอบโจทย์มากนัก นอกจากนี้ยังมีความกังวลใจในเรื่องของราคารถที่สูงกว่ารถจักรยานยนต์โดยทั่วไปและค่าเสื่อมของแบตเตอรี่ ทุกๆ 2-3 ปี

ทั้งนี้มีความใกล้เคียงกับผลการสำรวจของกลุ่มผู้มีอาชีพขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง 50 ตัวอย่าง ซึ่งโดยเฉลี่ยมีระยะการขับขี่ประมาณ 150 กิโลเมตรต่อวัน และมีค่าเชื้อเพลิงอยู่ที่ประมาณ 100 บาทต่อคนต่อวัน โดยประมาณ ซึ่งกลุ่มนี้มีความกังวลในเรื่องของระยะเวลาการประจุไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่มากที่สุด เนื่องจากใช้เวลานาน ไม่สะดวกต่อการประกอบอาชีพ อีกทั้งยังมีอัตราการเร่งที่จำกัด ไม่สะดวกต่อการทำเวลาในการรับ ส่งผู้โดยสาร ไม่ตอบโจทย์ในเรื่องความเร็ว ซึ่ง 50% ของกลุ่มผู้มีอาชีพขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างระบุว่า หากต้องเปลี่ยนรถใหม่อาจจะตัดสินใจซื้อเพราะคำนึงถึงเรื่องการประหยัดค่าเชื้อเพลิงและสามารถลดมลภาวะให้กับสิ่งแวดล้อมได้

อย่างไรก็ตาม หากมีราคาที่เหมาะสมก็อาจจะตัดสินใจซื้อ ในขณะที่อีก 50 % ของกลุ่มตัวอย่างดังกล่าวตัดสินใจว่าหากจะต้องเปลี่ยนรถใหม่จะไม่ซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแน่นอนเนื่องจากระยะเวลาการชาร์จที่นานเกินไป และการต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทุกๆ 2-3 ปีอาจทำให้เขาไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ดังนั้นในกลุ่มหลังนี้ยังระบุด้วยว่าหากภาครัฐสามารถเข้ามาส่งเสริมเรื่องราคา และพัฒนาเทคโนโลยีการชาร์จให้มีความรวดเร็วก็อาจจะเป็นปัจจัยในการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้

ดร.ปิยธิดา ระบุว่า แม้ว่าจากการสอบถาม 150 ชุดตัวอย่างอาจจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสำรวจอยู่มาก แต่ทีมผู้วิจัยเล็งเห็นว่า การขับขี่รถจักรยายนต์ในระยะสั้นๆ อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการคิดตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้าได้เพียงพอ จึงเห็นว่าควรจะต้องเปิดโอกาสให้กลุ่มตัวอย่างได้มีโอกาสให้กลุ่มตัวอย่าง 30 คนที่สมัครใจนำรถไปขับขี่ให้นานขึ้น โดยครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้นำรถไปขับขี่จริง 3-5 วัน มีข้อกำหนดว่าผู้ใช้จะต้องนำรถมาชาร์จที่สถานีชาร์จซึ่งติดตั้งไว้ทั้ง 3 แห่ง โดยมีการติดตั้งอุปกรณ์บันทึกการใช้งานไว้กับตัวรถ เพื่อนำมาวิเคราะห์ในเชิงวิศวกรรม ประกอบไปด้วย ระบบโปรเซสเซอร์ ต่อพ่วงเข้ากับแบตเตอรี่ ติดตั้ง GPRS เพื่อติดตามเส้นทางการขับขี่

นอกจากนั้นยังมีชุดดาต้าสตอเรจ เพื่อใช้ยูเอสบีเสียบดึงข้อมูลเข้ามาเก็บไว้ อีกทั้งยังติดตั้งหน้าจอแสดงระยะทางซึ่งประเมินจากไฟที่ยังเหลือเพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ขับขี่ได้ทราบว่ายังสามารถขับขี่ไปได้อีกกี่กิโลเมตรก่อนจะถึงเป้าหมาย

“สำหรับสถานีชาร์จจะมีตัวแท่นประจุไฟฟ้า มีการติดตั้งอุปกรณ์กล่อง ระบบโปรเซสเซอร์เพื่อเก็บข้อมูลของผู้ใช้จักรยานยนต์และข้อมูลการประจุไฟฟ้าแต่ละครั้งซึ่งแสดงหน้าจอเป็นกระแสไฟและแรงดันไฟฟ้า ณ ขณะชาร์จ โดยกลุ่มตัวอย่าง 30 รายจะต้องนำรถมาชาร์จที่สถานีเท่านั้น และทุกครั้งจะต้องคีย์ข้อมูลรหัสผ่าน และทะเบียนรถเพื่อเก็บข้อมูลไว้ในระบบทุกครั้ง เพื่อให้สามารถติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้และปริมาณการชาร์จไฟแต่ละครั้ง ซึ่งข้อมูลที่เก็บได้แต่ละครั้ง จะมีเรื่องกระแสไฟฟ้า ความต่างศักย์ของไฟฟ้า ค่าละติจูด ลองจิจูด เป็นต้น”
พิธีเปิด สถานีประจุไฟฟ้า บริเวณด้านหน้าสำนักงานอธิการบดี  มจธ.
การสำรวจครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้รถจักรยานยนต์ ปริมาณการใช้พลังงาน รวมถึงทัศนคติที่มีต่อการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และข้อมูลประสิทธิภาพจริงของระบบชาร์จและตัวรถเอง เพื่อนำไปวิเคราะห์ผลการประหยัดพลังงาน รวมถึงประสิทธิภาพเชิงเปรียบเทียบระหว่างรถมอเตอร์ไซด์ทั่วไปกับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า มีความแตกต่างกันอย่างไร ข้อเด่นข้อด้อย ก่อนจะนำข้อมูลไปเสนอต่อภาครัฐในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

“โครงการฯนี้เรามีทีมทำงานตามเป้าหมาย 3 ส่วนหลักๆ คือ ทีมพัฒนาเทคโนโลยี โดยจะนำข้อมูลจากผู้ขับขี่จริงมาวิเคราะห์ทางวิศวกรรม มีทีมวิเคราะห์พฤติกรรมความพึงพอใจของผู้ขับขี่จริง และสามคือทีมที่จะดูเรื่องนโยบาย นำผลที่ได้ไปร่างข้อเสนอต่อภาครัฐในการส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันซึ่งที่ผ่านมาทีมที่สามได้มีการเข้าไปสัมภาษณ์พูดคุยกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ กรมควบคุมมลพิษ กรมสรรสามิตร กรมขนส่งทางบก รวมถึงสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรมว่ามีทัศนคติหรือมุมมองอย่างไรในการส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ”

สำหรับสถานีประจุไฟฟ้าเฉพาะที่ มจธ. จะมีความต่างจากที่อื่น เนื่องจาก มจธ.เล็งเห็นว่าในอนาคตทางมหาวิทยาลัยจะมีการส่งเสริมการใช้จักรยานไฟฟ้า หรือ e-bike ขึ้นภายในมหาวิทยาลัย จึงมีการติดตั้งแท่นชาร์จรวม 4 แท่นชาร์จ โดย 1 ใน 3 เป็นแท่นชาร์จสำหรับจักรยานไฟฟ้าโดยเฉพาะ

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น