สศอ.สำรวจความพร้อมภาคอุตสาหกรรมกับเศรษฐกิจดิจิตอล พบว่าอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พลาสติก ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เล็งเห็นความสำคัญนำระบบดิจิตอลอีโคโนมีมาใช้ หวังช่วยการดำเนินธุรกิจ ลดต้นทุนการผลิต ขยายช่องทางการตลาด
นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สศอ.ได้สำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการใน 16 สาขาอุตสาหกรรมเพื่อศึกษาถึงความพร้อมของผู้ประกอบการไทยกับเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy) ว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรายใหญ่ร้อยละ 25.96 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจแบบดิจิตอลอีโคโนมีอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 39.42 เข้าใจในระดับปานกลาง และร้อยละ 34.62 มีความเข้าใจน้อย อีกทั้งมีความเข้าใจดีกว่าผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยผู้ประกอบการ SMEs มีเพียงร้อยละ 4.10 ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจแบบดิจิตอลอีโคโนมีอยู่ในระดับมาก ส่วนใหญ่ร้อยละ 61.03 มีความรู้และความเข้าใจน้อย ร้อยละ 31.79 มีความเข้าใจปานกลาง และร้อยละ 3.08 ยังไม่เข้าใจ
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่มีผู้ประกอบการที่มีความรู้ความเข้าใจมาก ได้แก่ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ร้อยละ 42.86 รองลงมาได้แก่ อุตสาหกรรมไม้ ร้อยละ 35.71 กระดาษและสิ่งพิมพ์ ร้อยละ 26.67 เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ร้อยละ 25.0 อัญมณีและเครื่องประดับร้อยละ 22.73 ตามลำดับ ส่วนอุตสาหกรรมที่มีผู้ประกอบการยังไม่เข้าใจ ได้แก่ เคมีภัณฑ์ ยาง คิดเป็นร้อยละ 7.14 เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดียวกัน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมเหล็กและโลหะ ร้อยละ 6.25 เครื่องนุ่งห่ม ร้อยละ 4.76 ตามลำดับ ส่วนแหล่งข้อมูลและช่องทางในการรับรู้ข่าวสารที่ทำให้เกิดความเข้าใจนั้น ร้อยละ 96.84% ติดตามข้อมูลข่าวสารด้วยตัวเองร้อยละ 2.81 มาจากหน่วยงานของภาคเอกชน และร้อยละ 0.35 มาจากหน่วยงานภาครัฐ
ขณะที่แนวความคิดเห็นเกี่ยวกับความจำเป็นในการนำรูปแบบดิจิตอลอีโคโนมีมาใช้ในการดำเนินงาน ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ร้อยละ 95.45 เห็นถึงความจำเป็นในการนำรูปแบบดิจิตอลอีโคโนมีมาใช้ในการดำเนินงาน เหตุผลความจำเป็นส่วนใหญ่ร้อยละ 80.42 เห็นว่ามีความจำเป็นเนื่องจากช่วยในการติดต่อสื่อสารให้มีความสะดวก รวดเร็วทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร้อยละ 18.33 เห็นความจำเป็นเพราะช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานทำให้การทำงานสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และร้อยละ 1.25 เห็นว่าช่วยในการประชาสัมพันธ์สินค้าได้ ส่วนผู้ประกอบการที่เห็นว่าไม่จำเป็นมีเพียงร้อยละ 4.55 เนื่องจากการดำเนินงานธุรกิจของตนเองส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายที่หน้าร้านและมีการติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์เป็นหลัก
ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมโดยส่วนใหญ่ร้อยละ 97.01 ได้นำรูปแบบดิจิตอลอีโคโนมีมาใช้ในการดำเนินงานแล้ว มีเพียงผู้ประกอบการร้อยละ 2.66 ที่ยังไม่ได้มีการนำมาใช้ และร้อยละ 0.33 กำลังจะนำมาใช้นั้นอยู่ในระหว่างการศึกษาเพื่อนำมาใช้ในอนาคต รูปแบบดิจิตอลอีโคโนมีมาใช้ส่วนมากร้อยละ 63.86 นำมาใช้ติดต่อสื่อสารผ่านระบบอินเทอร์เน็ต รองมาร้อยละ 25.26 นำมาช่วยในการทำการตลาดและโฆษณาประชาสัมพันธ์ ร้อยละ 5.96 นำมาใช้ทำธุรกรรมทางด้านการเงิน ร้อยละ 1.75 นำมาใช้ด้านการขนส่งสินค้า ร้อยละ 1.40 นำมาใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการ ร้อยละ 1.05 ใช้ในด้านการผลิต และร้อยละ 0.70 ใช้ในการค้นหาข้อมูลในเชิงธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการนำดิจิตอลอีโคโนมีมาใช้ในการดำเนินงานของผู้ประกอบการจะมีขั้นตอนการพัฒนา โดยเริ่มต้นจากการเป็น Traditional Economy หรือขายตามหน้าร้านทั่วไป ก้าวไปสู่ระดับขั้นกลางเป็น Connected Economy หรือใช้ติดต่อสื่อสารผ่านระบบอินเทอร์เน็ต การศึกษาจึงสะท้อนให้เห็นได้ว่า การพัฒนาในภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับการนำดิจิตอลอีโคโนมีมาใช้ในระดับขั้นกลาง และยังมีโอกาสก้าวไปสู่การนำดิจิตอลอีโคโนมีมาใช้ในระดับขั้นสูงขึ้นหรือเป็นเศรษฐกิจดิจิตอลอีโคโนมีมากขึ้นได้อีก
นายอุดมยังกล่าวต่อว่า หากผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยสามารถเข้าใจและเข้าถึงระบบธุรกิจดิจิตอลอีโคโนมีได้เป็นอย่างดี และรู้จักใช้ประโยชน์จากการนำระบบธุรกิจดิจิตอลอีโคโนมีมาใช้เป็นช่องทางธุรกิจและช่องทางการตลาดในด้านต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ จะเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีไทยซึ่งเป็นธุรกิจรากฐานสำคัญของประเทศเติบโตอย่างเข้มแข็งต่อไปในอนาคต ตามนโยบายรัฐบาลที่กำลังต้องการผลักดันให้ธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นธุรกิจที่มั่นคงยั่งยืนของประเทศ
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *