OKMD เดินหน้าจุดประกายไอเดียพัฒนาสินค้า พร้อมแนะสุดยอดเคล็ดลับการตลาดเพื่อการส่งออก เปิดมุมมองผู้ซื้อต่างชาติ แนะOTOP/SMEs ขายคุณภาพวัตถุดิบ เชื่อแข่งขันได้ พร้อมเตือนเปิด AEC ระวังคู่ค้าจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ แย่งตลาด
Mr. Bennett Matthew Ronald David กรรมการผู้จัดการ Bennett Apparel Group ผู้สั่งซื้อสินค้าไทยส่งออกไปยังออสเตรเลียและทั่วโลก ซึ่งมีประสบการณ์สั่งซื้อสินค้าในประเทศต่างๆ ส่งออกไปขายทั่วโลกมาอย่างยาวนาน มองว่าสินค้าและผลิตภัณฑ์ของประเทศไทยมีจุดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมไปถึงวัตถุดิบต่างๆ ที่นำมาผลิตก็ค่อนข้างมีคุณภาพ จากการเดินทางมาร่วมเป็นหนึ่งในทีมผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำผู้ประกอบการ OTOP/SMEs พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งจัดโดยสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD ทำให้เห็นสินค้าและผลิตภัณฑ์มากมายที่มีศักยภาพส่งออกไปขายต่างประเทศ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสปาและความงาม เช่น สบู่ผสมสมุนไพรไทย ซึ่งเป็นสินค้าที่เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวต่างชาติ แต่ในแง่ของรูปลักษณ์และบรรจุภัณฑ์นั้นจำเป็นต้องพัฒนาปรับปรุงให้สวยงามและทันสมัยมากขึ้น หากต้องการส่งสินค้าออกไปแข่งขันในตลาดโลก
ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการ OTOP/SMEs ไทยต้องการผันตัวเข้าสู่ตลาดส่งออก สิ่งสำคัญคือต้องเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน โดยเริ่มจากตัวผู้ประกอบการจะต้องพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะด้านการผลิตให้มีคุณภาพและมาตรฐานในระดับเดียวกัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปราการด่านสำคัญที่ผู้ซื้อจะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือไม่ ขณะเดียวกัน การสื่อสารและนำเสนอจุดเด่นของสินค้าต่อตัวแทนผู้ซื้อผู้กระจายสินค้าและต่อตัวผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่นำไปสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน เพราะจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของผู้ประกอบการ กฎข้อแรกคือต้องหาโอกาสเข้าใกล้ลูกค้าให้ได้มากที่สุด ต้องกล้าที่จะพูดคุยสื่อสารนำเสนอจุดขายสินค้าเพื่อแสดงความจริงใจแก่ผู้บริโภคทั้งในกลุ่มคนไทยและชาวต่างชาติ และต้องไม่ย่อท้อหรือยอมแพ้ง่ายๆ หากการนำเสนอสินค้าในครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จ ในทางกลับกันต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสให้ได้ โดยถามกลับไปเลยว่าสินค้าและผลิตภัณฑ์ควรต้องพัฒนาปรับปรุงอะไรบ้าง จากนั้นนำเอาคำแนะนำและคำติชมทั้งหลายกลับไปพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้นกว่าเดิม
“คุณสมบัติของผู้ที่จะประสบความสำเร็จคือความกล้า กล้าที่จะเดินเข้าไปพูดคุยแนะนำสินค้าด้วยตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ต้องกล้าที่จะยอมรับคำติชมจากลูกค้าไปพัฒนาปรับปรุงสินค้าและผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น และตรงต่อความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค เพราะท้ายที่สุดแล้วหากเรามีสินค้าที่ดีที่สุดในโลก แต่กลับถูกวางไว้เฉยๆ ในชั้นวาง ไม่มีการสื่อสาร ไม่มีการบอกเล่าว่าสินค้านั้นดีอย่างไร สินค้าชิ้นนั้นก็จะไม่เกิดมูลค่าคุณค่าใดๆ ต่อผู้ประกอบการ” Mr.Bennett กล่าว
กรรมการผู้จัดการ Bennett Apparel Group บอกอีกว่า นอกจากการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจแล้ว ผู้ประกอบการ OTOP/SMEs ชาวไทยต้องไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยหลักการง่ายๆ ที่นำไปสู่การผลิตที่มีคุณภาพจะต้องยึดถือคุณภาพของสินค้าเป็นหลัก โดยเริ่มตั้งแต่วัสดุและวัตถุดิบที่นำมาทำต้องเป็นของดี ที่สำคัญแม้สินค้าจะผลิตออกมามีคุณภาพและมาตรฐานแค่ไหน แต่การตั้งราคาขายก็ต้องมีความเหมาะสม โดยการตั้งราคาที่ดีต้องไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป ซึ่งหลักการง่ายๆ คือผู้ประกอบการต้องวิเคราะห์ว่าสินค้าที่ผลิตนั้นเน้นเจาะตลาดกลุ่มไหนและขายผ่านช่องทางใด ไม่เพียงเท่านั้น ในส่วนของการส่งมอบสินค้าก็จะต้องตรงตามเวลานัดหมาย เพราะผู้ประกอบการชาวต่างชาติให้ความสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง หากผิดนัดส่งสินค้าแม้แต่ครั้งเดียวจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นทันที นอกจากนี้ ปัจจัยด้านการบริการทั้งก่อนและหลังการขายถือเป็นแต้มต่อสำคัญที่สามารถสร้างความประทับใจ และทำให้ขายสินค้าได้มากขึ้นเช่นกัน
ด้านนายเกรียงไกร กิติรัตน์ตระการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามการัต อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ตัวแทนผู้ซื้อสินค้าไทยให้แก่ห้างชั้นนำในต่างประเทศ เช่น HABITAT และ HARRODS มีความเห็นสอดคล้องกันว่า ภาพรวมสินค้าและผลิตภัณฑ์ OTOP/SMEs ของประเทศไทยนั้นสามารถสู้กับสินค้าจากประเทศคู่แข่งได้ไม่ยากนัก เนื่องจากคุณภาพของวัสดุและวัตถุดิบที่นำมาผลิตค่อนข้างเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในตลาดต่างประเทศอยู่แล้ว แต่ปัจจัยเสริมสำคัญที่จะสามารถช่วยให้ขายสินค้าได้มากขึ้นคือการใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่กระบวนการผลิต โดยเฉพาะการศึกษาความต้องการของตลาดเป้าหมาย การคัดสรรวัสดุและวัตถุดิบที่มีคุณภาพ เพื่อให้สินค้าและผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นมีทั้งความสวยงามตรงตามความต้องการของผู้บริโภค และมีคุณภาพคงทนแข็งแรง ขณะเดียวกัน ในส่วนของขั้นตอนการขาย ก็ต้องมีการนำเสนอความน่าสนใจและความแตกต่างของสินค้าเพื่อให้ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินซื้อสินค้าอย่างไม่ลังเล นอกจากนี้ บริการหลังการขายหรือการปฏิบัติตามข้อตกลง โดยเฉพาะการส่งมอบสินค้าที่ตรงเวลานัดหมายก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่หากผู้ประกอบการไทยสามารถปฏิบัติได้ตามข้อตกลงจะทำให้การค้าขายราบรื่นไร้อุปสรรค
ทั้งนี้ หากเจาะลึกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ และผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพพัฒนาสินค้าเข้าไปเจาะตลาดในขณะนี้ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์เซรามิก เช่น จาน ชาม กลุ่มผลิตภัณฑ์จากไม้ เช่น กรอบรูป ของใช้ ของตกแต่งบ้าน และของที่ระลึก กลุ่มผลิตภัณฑ์ผ้าทอ เช่น ผ้าไหมและผ้าฝ้าย นอกจากนี้ สินค้าเกี่ยวกับความงาม กลุ่มผลิตภัณฑ์ สปากำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ดังนั้น ผู้ประกอบการ OTOP/SMEs ควรอาศัยโอกาสจากความชื่นชอบเหล่านี้ เร่งพัฒนาต่อยอดยกระดับสินค้าและผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพมาตรฐานและรูปลักษณ์ที่โดดเด่นทันสมัย เพื่อให้สามารถส่งออกไปขายในตลาดต่างประเทศได้ตามเป้าหมาย ซึ่งในทางปฏิบัติหากส่งออกสินค้าได้ประสบความสำเร็จ ไม่เพียงช่วยสร้างรายได้เข้าสู่กิจการของตนเองได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศด้วยอีกช่องทางหนึ่ง
ตัวแทนผู้ซื้อสินค้าไทยชี้ว่า สำหรับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งในอนาคตหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC อาจเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดสินค้าไทย หากผู้ประกอบการไทยไม่เร่งพัฒนา และยกระดับคุณภาพสินค้าให้มีความแตกต่าง คือ 1. สาธารณรัฐประชาชนจีน ในกลุ่มผลิตภัณฑ์แก้วและเซรามิก โดยเฉพาะพวกจาน ชาม และผลิตภัณฑ์จากโลหะ โดยจีนถือเป็นแหล่งวัตถุดิบราคาถูก และมีกำลังผลิตสินค้าได้ครั้งละมากๆ 2. ประเทศเวียดนาม กลุ่มผลิตภัณฑ์เซรามิก เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้าน 3. ประเทศอินโดนีเซีย กลุ่มผลิตภัณฑ์ของชำร่วย ของที่ระลึก เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้าน และ 4. ประเทศฟิลิปปินส์ กลุ่มผลิตภัณฑ์เดียวกับประเทศไทย คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์เซรามิก ผลิตภัณฑ์จากไม้ ผลิตภัณฑ์ผ้าทอ และผลิตภัณฑ์สปา แต่มีความได้เปรียบด้านค่าแรงที่ต่ำกว่า
“จากการได้พบเห็นสินค้าและผลิตภัณฑ์ OTOP/SMEs มาทั่วประเทศ มองว่าคุณภาพและความสวยงามของสินค้าไทยไม่ได้เป็นสองรองจากใคร หรือแพ้ประเทศคู่แข่งแต่อย่างใด แต่เนื่องจากโจทย์ใหญ่ตอนนี้คือการส่งออกไปขายในตลาดโลกได้มากขึ้นผู้ประกอบการจึงไม่อาจหยุดนิ่งในการพัฒนาสินค้า ซึ่งส่วนตัวคิดว่าถ้าจะสู้กับประเทศคู่แข่งจริงๆ เราต้องมุ่งเจาะตลาดบน ฉะนั้นจะเน้นเพราะคุณภาพของสินค้าอย่างที่ผ่านมาไม่ได้ จะต้องมีการผนวกและผสมผสานเทคนิคการผลิตเพื่อให้สินค้าแต่ละชิ้นออกมาพิเศษกว่าคนอื่น อย่างการประยุกต์เอางานพื้นบ้าน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นมาต่อยอดผลิตเป็นสินค้าคอลเลกชันใหม่ เชื่อว่านอกจากจะขายดีเพราะตรงตามความชื่นชอบของชาวต่างชาติ ก็ยังสามารถป้องกันการลอกเลียนแบบได้อีกด้วย” นายเกรียงไกรกล่าวทิ้งท้าย
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *