OKMD ดันผู้ประกอบการโอทอป ส่งออกผ้าผืนไทยเจาะตลาดอเมริกาและยุโรป ผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ หลังผู้ประกอบการชาวสิงคโปร์สามารถสร้างกำไร จากการส่งขายผ้าผืนไทยได้กว่าเท่าตัว เชื่อหากผู้ประกอบการไทยได้รับการส่งเสริม จะสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดการค้าส่งผ้าผืนจากประเทศสิงคโปร์ แนะกลยุทธ์การพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ผ้า ต้องผลิตตามเทรนด์แฟชั่นโลกและสีสันตามฤดูกาล
ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้เชี่ยวชาญแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์ OTOP ของตลาดในประเทศและต่างประเทศ OKMD และผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมเทคโนโลยี สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เปิดเผยว่า ปัจจุบันสิงคโปร์ถือเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าที่สำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าและผลิตภัณฑ์ผ้า เครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับ โดยจากข้อมูลการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยของสถาบันฯ ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2558 พบว่า มีมูลค่ารวมกันทุกขนาดอุตสาหกรรมอยู่ที่ 13.56 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 450 ล้านบาท โดยสินค้าและผลิตภัณฑ์ผ้าและสิ่งทอที่ส่งไปขายยังตลาดสิงคโปร์นั้น แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มตลาดเป้าหมาย กลุ่มแรกคือตลาดสำหรับซื้อใช้เองภายในประเทศ คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 30
ทั้งนี้สินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ ผ้าผันคอ กระเป๋าผ้า ของที่ระลึกจากผ้า และเครื่องประดับ ซึ่งแม้จะเป็นสัดส่วนที่ไม่มากนักหากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน แต่ผู้บริโภคในสิงคโปร์มีกำลังซื้อสูงมาก อีกทั้งยังเชื่อมั่นในคุณภาพและชื่นชอบสีสันของสินค้าไทย เนื่องจากตรงกับไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิต ดังนั้นหากผู้ประกอบการไทยกลุ่มโอทอปและเอสเอ็มอี ซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุดในประเทศ สามารถพัฒนาสินค้าได้ตรงตามความต้องการของตลาด ในภาพรวมจะสามารถเพิ่มสัดส่วนการส่งออกได้มากขึ้นและ กลุ่มที่สองคือตลาดค้าส่งผ้าผืนสำหรับนำไปตัดเย็บ คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 70 โดยส่งไปขายยังตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นหลัก
สำหรับแนวโน้มการเติบโตในอนาคตเป็นไปในทิศทางที่ค่อนข้างสดใส เนื่องจากผ้าผืนจากไทยที่ผู้ประกอบการสิงคโปร์นำไปขายต่อนั้น มีคุณภาพและเอกลักษณ์ความสวยงามเฉพาะตัวเป็นที่ชื่นชอบของชาวตะวันตก ทำให้ปัจจุบันผู้ประกอบการชาวสิงคโปร์สามารถสร้างมาร์จิน จากการส่งขายได้กว่าเท่าตัวจากราคาซื้อ ขณะเหตุผลหลักที่ผู้บริโภคในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป เลือกซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์ผ้าไทยจากประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากมีระบบอีคอมเมิร์ซที่ก้าวหน้าและสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี จึงถือเป็นหนึ่งในช่องทางสำคัญที่หากผู้ประกอบการไทย สามารถพัฒนาระบบการดำเนินธุรกิจได้อย่างประเทศสิงคโปร์จะทำให้มูลค่าตลาดสินค้าและผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น
ดร.ชาญชัย กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องคำนึงถึงเป็นสิ่งแรกก่อนการผลิตสินค้า คือ เทรนด์แฟชั่นโลก โดยเฉพาะเทรนด์สีในแต่ละปีและสีสันตามฤดูกาล โดยต้องยึดตามฤดูกาลของประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นหลัก เช่น หากล็อตการผลิตสินค้าตรงกับฤดูฤดูหนาวก็ต้องเน้นสีคลุมโทน แต่หากตรงกับฤดูร้อนก็ต้องเน้นสีสดใส ซึ่งจุดนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นยอดขายได้มากขึ้น แต่ในความเป็นจริงผู้ประกอบการไทยยังขาดความเข้าใจในเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่มักผลิตตามความชื่นชอบของตนเองเป็นหลัก ทำให้หลายครั้งสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ผลิตออกมาวางจำหน่ายขายไม่ออก เนื่องจากผู้บริโภคไม่สามารถนำไปใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่เพียงเท่านั้นในแง่ของการตั้งราคาก็ถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ ที่ต้องปรับให้สอดคล้องและเหมาะสมกับคุณภาพของสินค้าด้วยเช่นเดียวกัน
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *