“ข้าวโพดหวาน” ขนมกินเล่นที่หาได้ทั่วไป ถูกนำมาแต่งโฉมให้สวยงาม มีมาตรฐานยิ่งขึ้น พร้อมเสริมสีสันด้วยรสชาติอันหลากหลาย แถมมีท็อปปิ้งนานาชนิดให้เลือกใส่ด้วย กลายเป็นสินค้าแปลกใหม่ดึงดูดความสนใจได้มากขึ้น และที่สำคัญใช้วัตถุดิบข้าวโพดเกรดส่งออกต่างประเทศที่เดิมคนไทยเองกลับไม่เคยได้ลิ้มรส แต่ต่อไปจะหากินได้ง่ายทุกวัน และแทบจะทุกพื้นที่ของประเทศ
นี่เป็นวิสัยทัศน์ของบริษัท โซ ซวีท จำกัด โดยผู้บริหารหนุ่ม “พูนพล ยิ่งสม” ที่เข้ามาจับธุรกิจข้าวโพดเม็ดหวาน แบรนด์ “เดลี่ คอร์น” (Deli Corn) วางแผนการตลาดขยายสาขาในรูปแบบ “แฟรนไชส์” เปิดช่องทางให้คนอยากมีอาชีพเข้ามาเป็นเครือข่าย
เขาเล่าให้ฟังว่า บริษัทแม่ คือ “บริษัท ซัน ซวีท จำกัด” อยู่ที่ จ.เชียงใหม่ ดำเนินธุรกิจส่งออกข้าวโพดเกรดเอ ไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นมายาวนาน มูลค่ายอดขายปีละกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งข้าวโพดเกรดที่ส่งออกดังกล่าวมีคุณสมบัติเม็ดใหญ่ กรอบนอกนุ่นใน เดิมเกรดนี้คนไทยน้อยรายที่จะเคยได้กิน เพราะผลผลิตทั้งหมดถูกปลูกขึ้นเพื่อเจาะจงส่งออกล้วนๆ
จากที่เห็นข้อมูลดังกล่าวทำให้เกิดความสนใจอยากจะนำวัตถุดิบนี้มาขยายตลาดในประเทศ ดังนั้นจึงเข้าเจรจาขอร่วมทุนเปิดบริษัทลูก ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ขายข้าวโพดหวานนึ่ง
“ข้าวโพดหวานโดยการนึ่งเป็นขนมที่คนไทยรู้จักกันดีอยู่แล้ว เข้าใจง่าย ไม่ต้องแนะนำกันใหม่ และยังดีต่อสุขภาพด้วย ทำให้ผมเห็นว่าสามารถทำตลาดได้ โดยเสริมด้วยการเพิ่มมาตรฐาน วัตถุดิบเมล็ดข้าวโพดเกรดส่งออก ใส่ภาชนะที่ดูดี และกระบวนการผลิตที่สะอาดปลอดภัย เสริมด้วยมีให้เลือกถึง 9 รสชาติ และมีท็อปปิ้งให้เลือกใส่ได้อีก 4 ชนิด ทำให้สินค้ามีความแปลกใหม่ ดึงดูดลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และที่สำคัญ ผมอยากให้เป็นของกินเล่นที่ผู้บริโภคจะกินได้ทุกวันโดยไม่เบื่อ” พูนพลกล่าว
ทั้งนี้ รสชาติต่างๆ จะมาจากการเติมเครื่องปรุงรสแบบผงกับน้ำปรุงรส ทั้งหมดบริษัทมีทีมงานวิจัยและพัฒนาขึ้นเอง มีให้เลือก 9 รสชาติ ได้แก่ บัตเตอร์, คาราเมล, ชีส , ช็อกโกแลต, ฮันนีเลมอน, ต้มยำ, ปาปริกา, โนริ และวาซาบิ นอกจากนั้น ยังมีท็อปปิ้งให้เลือก 4 ชนิด ได้แก่ โอริโอ, อัลมอนด์, คอร์นเฟลก และโกโก้เชก กำหนดราคาขายปลีกถ้วยละ 25 บาท
ในด้านการลงทุนแฟรนไชส์นั้นแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ 1. ลงทุนแบบรายบุคคล งบลงทุน 60,000 บาท แบ่งเป็นลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ 20,000 บาท พร้อมได้รับรถเข็นพร้อมอุปกรณ์ชุดมาตรฐาน ซึ่งจะมีหม้อนึ่งไฟฟ้าติดตั้งมาด้วย มูลค่า 25,000 บาท ตู้แช่แบบเยือกแข็ง มูลค่า 17,000 บาท และวัตถุดิบเริ่มต้นอาชีพ ได้แก่ เมล็ดข้าวโพด 200 กิโลกรัม และเครื่องปรุงรส และ 2. ลงทุนแบบดีลเลอร์ ดูแลสาขาแฟรนไชส์ในท้องที่ จำนวน 5 สาขา งบลงทุน 285,000 บาท ประกอบด้วยได้รับชุดแฟรนไชส์เหมือนลงทุนแบบรายบุคคล จำนวน 5 จุดขาย
ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญต้องรับวัตถุดิบจากบริษัทเท่านั้น ได้แก่ เมล็ดข้าวโพดแช่แข็ง, เครื่องปรุงรสมาตรฐาน และบรรจุภัณฑ์ (ถ้วย และช้อน) โดยเมล็ดข้าวโพดแช่แข็ง ราคาส่งแพกละ 50 บาทต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม (ถ้าอยู่ในตู้แช่เยือนแข็งเก็บได้นาน 2 ปี) ซึ่ง 1 แพกสามารถนำไปขายปลีกได้จำนวนประมาณ 8 ถ้วย ส่วนเครื่องปรุงรส รวมถึงท็อปปิ้ง ราคาส่งอยู่ที่ 18-25 บาทต่อกิโลกรัม (ขึ้นอยู่กับแต่ละชนิด) โดยการสั่งวัตถุดิบขั้นต่ำครั้งละ 200 กิโลกรัม
สำหรับราคาขายปลีก กำลังไว้ที่ถ้วยละ 25 บาท โดยต้นทุนเฉพาะราคาวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 30% เมื่อรวมกับต้นทุนเรื่องค่าแรง และค่าเช่าแล้ว เบ็ดเสร็จผู้ขายจะเหลือกำไรต่อการขายต่อถ้วยอยู่ที่ประมาณ 40-50% หากขายได้วันละ 75 ถ้วยต่อวัน จะคืนเงินลงทุนได้ในเวลา 2.5-3 เดือน
พูนพลอธิบายต่อว่า จุดแข็งของผู้สนใจจะซื้อแฟรนไชส์ “เดลี่ คอร์น” ไปประกอบอาชีพอยู่ที่ความง่ายในกระบวนการทำเพื่อขาย เพียงแค่นำเมล็ดข้าวโพดแช่แข็งมาเทลงหม้อนึ่ง 15 นาที แล้วตักข้าวโพดใส่ถ้วย ตามด้วยราดเครื่องปรุง และเติมท็อปปิ้งเป็นอันเสร็จ
ทั้งนี้ ด้านการควบคุมมาตรฐานแฟรนไชส์นั้น เจ้าของธุรกิจเผยว่า เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่บริษัทจะส่งให้แฟรนไชส์เป็นราคาที่ต่ำกว่าในท้องตลาดอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ผู้ขายจะไปดิ้นรนหาวัตถุดิบอื่นๆ ที่ไม่ได้คุณภาพมาขายแทน ช่วยป้องกันคุณภาพได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนั้น บริษัทยังมีทีมคอยเข้าตรวจสอบคุณภาพและให้คำปรึกษาสม่ำเสมอ เพื่อให้สาขาแต่ละแห่งประกอบการค้าขายในรูปแบบที่บริษัทกำหนดไว้
สำหรับเงื่อนไขในการลงทุนแฟรนไชส์นั้น นอกเหนือจากเรื่องเงินลงทุนแล้ว สิ่งที่ผู้ลงทุนต้องมาเสนอ คือ “ทำเล” ที่อยากจะเปิดร้าน ซึ่งบริษัทจะมีทีมงานไปประเมินความเป็นไปได้ต่อการประสบความสำเร็จ หากประเมินแล้วไม่ผ่านจะแจ้งอย่างตรงไปตรงมาเพื่อไม่ให้ผู้ลงทุนเสียเงินไปแล้วต้องล้มเหลว
สำหรับทำเลที่เหมาะจะทำอาชีพนี้ควรเป็นย่านชุมชนที่มีผู้สัญจรผ่านตลอดเวลา โดยทำเลเกรดเอ ได้แก่ หน้าโรงเรียน มหาวิทยาลัย และตลาดนัดต่างๆ ส่วนกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย ตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น จนถึงคนวัยทำงาน
เจ้าของธุรกิจเผยด้วยว่า แฟรนไชส์ “เดลี่ คอร์น” เริ่มเปิดตัวเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมานี่เอง เบื้องต้นบริษัทได้เปิดร้านต้นแบบของตัวเองจำนวน 4 จุด อยู่ในย่านถนนสีลม และสาทร ซึ่งสาขาขายดีที่สุดตั้งอยู่ข้างอาคารซีพีทาวเวอร์ มียอดขายประมาณ 2,000 บาทต่อวัน ซึ่งจากโมเดลดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้ผู้ขายมีอาชีพที่สามารถอยู่รอดได้และกำไรน่าพอใจ
ด้านระบบการดูแลสาขาแฟรนไชส์นั้น กำหนดส่งวัตถุดิบในพื้นที่กรุงเทพฯ ให้ได้ภายใน 24 ชม.หลังได้รับออเดอร์ เพื่อให้สาขามีวัตถุดิบขายได้ทุกวัน นอกจากนั้น กำลังเจรจาติดต่อสถานที่หลายแห่ง เช่น หน้าห้างสรรพสินค้า เป็นต้น เพื่อในอนาคตจะเป็นทำเลทางเลือกสำหรับคนที่อยากจะประกอบอาชีพนี้
ส่วนแผนการขยายสาขาภายในปีนี้ (2558) วางเป้าจะมีดีลเลอร์ประมาณ 9 ราย และมีสาขา “เดลี่ คอร์น” กระจายกว่า 200 จุดทั่วกรุงเทพฯ และเป้าหมายระยะยาวต้องการให้มีกว่า 2,000 จุดกระจายในทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมถึงขยายไปสู่ตลาดอาเซียนต่อไป
การลงทุนแฟรนไชส์ “เดลี่ คอร์น” |
@ มีให้เลือก 2 รูปแบบ คือ 1. ลงทุนแบบรายบุคคล งบลงทุน 60,000 บาท ประกอบด้วย - ค่าลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ 20,000 บาท - รถเข็นพร้อมอุปกรณ์ชุดมาตรฐาน ซึ่งจะมีหม้อนึ่งไฟฟ้าติดตั้งมาด้วย มูลค่า 25,000 บาท - ตู้แช่แบบเยือกแข็ง มูลค่า 17,000 บาท -วัตถุดิบเริ่มต้นอาชีพ ได้แก่ เมล็ดข้าวโพด 200 กิโลกรัม และเครื่องปรุงรส 2. ลงทุนแบบดีลเลอร์ งบลงทุน 285,000 บาท ประกอบด้วย - สิทธิ์ดูแลสาขาแฟรนไชส์ในท้องที่ จำนวน 5 จุดขาย - ค่าลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ 20,000 บาท x5 - รถเข็นพร้อมอุปกรณ์ชุดมาตรฐาน ซึ่งจะมีหม้อนึ่งไฟฟ้าติดตั้งมาด้วย มูลค่า 25,000 บาท x 5 - ตู้แช่แบบเยือกแข็ง มูลค่า 17,000 บาท x 3 - วัตถุดิบเริ่มต้นอาชีพ ได้แก่ เมล็ดข้าวโพด 600 กิโลกรัม และเครื่องปรุงรส |
@ คาดการณ์รายได้ - กำลังราคาขายปลีกถ้วยละ 25 บาท - โดยต้นทุนเฉพาะราคาวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 30% เมื่อรวมกับต้นทุนเรื่องค่าแรง และค่าเช่าแล้ว เหลือกำไร 40-50% - ควรขายได้วันละ 75 ถ้วยต่อวัน - คาดการณ์คืนเงินลงทุนได้ในเวลา 2.5-3 เดือน |
@ เงื่อนไขการทำธุรกิจร่วมกัน - ต้องรับวัตถุดิบจากบริษัทเท่านั้น ได้แก่ เมล็ดข้าวโพดแช่แข็ง, เครื่องปรุงรสมาตรฐาน และบรรจุภัณฑ์ (ถ้วย และช้อน) - ต้องนำเสนอ “ทำเล” ที่อยากจะเปิดร้าน |
สนใจอาชีพแฟรนไชส์นี้ ติดต่อได้ที่ 0-2670-8089, 09-7245-1899
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *