ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยตลาดส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไทยยังประคองตัวเติบโตไปได้ 4% คาดปีนี้มูลค่าทะลุ 1.5 พันล้านเหรียญ ผลจากตลาดสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัว และได้ตลาดใหม่ทั้งจีน และอินเดีย แนะชูดีไซน์เด่น สร้างเทรนด์ใหม่เข้าถึงผู้บริโภค
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยบทความเรื่อง “ส่งออกเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วนปี ’58: ผ่าทางตันดันยอดโต 4% … เน้นชูจุดขายผ่านงานดีไซน์และเปิดช่องทางการตลาดแนวรุก” โดยเนื้อหาเผยว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า สำหรับธุรกิจส่งออกเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วนไทยในปีนี้ (2558) แม้จะมีหลากหลายปัจจัยที่กดดันต่อภาพรวมการส่งออก ทั้งในเรื่องความสามารถในการแข่งขัน ต้นทุนแรงงาน และราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น อุปสรรคทางการค้าโดยเฉพาะเรื่องกฎระเบียบของประเทศคู่ค้าสำคัญ รวมไปถึงค่าเงินบาทที่ยังคงผันผวนในทิศทางแข็งค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่โดยรวมแล้วน่าจะประคับประคองให้เติบโตต่อไปได้ โดยทิศทางการส่งออกเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วนไทยไปยังตลาดโลกปี 2558 จะมีมูลค่าประมาณ 1,200-1,250 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตร้อยละ 0.0-4.0 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่หดตัวร้อยละ 3.1 ซึ่งมีปัจจัยบวกจากกำลังซื้อในตลาดหลักอย่าง สหรัฐฯ ที่กลับมาเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา รวมไปถึงความต้องการในตลาดอาเซียนและตลาดคู่ค้าใหม่อย่าง จีนและอินเดีย ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของความเป็นเมืองและการเติบโตของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม ที่น่าจะช่วยผลักดันให้ยอดการส่งออกในปีนี้ยังมีโอกาสเติบโตในแดนบวก
โดยกลุ่ม 3G (สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น) ยังเป็นตลาดหลักที่คาดว่าจะพยุงยอดการส่งออกในปีนี้ โดยสินค้าหลักที่เป็นที่ต้องการในตลาดนี้ ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ไม้ ที่เน้นขายงานดีไซน์และฟังก์ชันการใช้งาน ในขณะที่อาเซียน จีน และอินเดีย เป็นตลาดใหม่ที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะการป้อนสินค้าเฟอร์นิเจอร์รองรับกลุ่มชนชั้นกลางที่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปสู่สังคมเมือง อาทิ เฟอร์นิเจอร์เพื่อการตกแต่งบ้านและคอนโดมิเนียม
แม้ว่าในระยะที่ผ่านมาผู้ประกอบการจะปรับตัวทางธุรกิจเพื่อความอยู่รอด แต่ก็มีจำนวนไม่มากที่ทำได้ เพราะต้องยอมรับว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาไม่ได้ ดังนั้น หากมองไประยะข้างหน้า การวางโครงสร้างธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยให้ความสำคัญต่อการพัฒนางานด้านดีไซน์ การมองเทรนด์ความต้องการของตลาดผู้บริโภคและนำมาปรับปรุงสินค้าให้สอดรับกับวิถีการใช้ชีวิตของกลุ่มลูกค้าปลายทางให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงการเปิดช่องทางการตลาดในรูปแบบใหม่ๆ ที่มีความหลากหลายและเหมาะสมกับแต่ละตลาดเป้าหมาย น่าจะเป็นทางออกสำหรับความอยู่รอดของผู้ประกอบการในธุรกิจได้ เพราะปัจจัยเหล่านี้มีส่วนอย่างมากต่อการเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน รวมถึงสร้างผลตอบแทนทางธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *