กรมพัฒน์ฯ เตือนร่วมลงทุนขายตรงข้ามชาติ ระวังแชร์ลูกโซ่หอบเงินหนี

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อร่วมลงทุนกับธุรกิจขายตรงง่าย ๆ เพียงเพราะโฆษณาชวนเชื่ออ้างรวยง่าย รวยเร็ว ส่วนใหญ่มักแฝงแชร์ลูกโซ่โดยใช้ธุรกิจขายตรง และการตลาดแบบตรง บังหน้าหลอกลวงหากิน โดยเฉพาะธุรกิจที่เป็นเครือข่ายข้ามชาติ ที่กำลังรุกคืบมาขยายธุรกิจในประเทศไทย

นางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า จากการที่ สื่อต่างประเทศได้ติดตามและนำเสนอข่าวธุรกิจข้ามชาติในนาม บริษัท หยิน ซู่ เหม่า จำกัด หรือ YSLM ซึ่งมีประวัติประกอบธุรกิจแชร์ลูกโซ่ได้ก่อความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจ สังคมและผู้บริโภคในต่างประเทศแล้วจำนวนมาก โดยโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนร่วมลงทุนเพียงสมัครสมาชิกแค่ไม่กี่บาท และมีโอกาสร่ำรวย เป็นมหาเศรษฐีได้ไม่ยากหากหาสมาชิกเพิ่มเติม ซึ่งเกรงว่าบริษัทดังกล่าวจะย้ายฐานการดำเนินงานเข้ามา ในประเทศไทยเพื่อหลอกลวงประชาชน และระดมเงินทุนโดยใช้ธุรกิจขายตรงบังหน้า

“จากกรณีดังกล่าว กรมพัฒนาธุรกิจการค้าในฐานะหน่วยงานอนุญาตและกำกับดูแลการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทได้ตรวจสอบว่าบริษัทดังกล่าวได้เข้ามาจดทะเบียนในประเทศไทย โดยใช้ชื่อแรกในการจัดตั้งบริษัทคือ บริษัท ซี.ดี.ที.อัพ. จำกัด เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2557 และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท หยิน ซู่ เหม่า จำกัด เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2557 โดยมีวัตถุประสงค์ดำเนินธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรง แต่ยังไม่ได้ยื่นขออนุญาตหรือ จดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แต่อย่างใดในเบื้องต้น กรมฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่ตั้งสำนักงานของบริษัทฯ ปรากฏว่ามีอยู่จริงแต่มีสภาพเป็นที่พักอาศัย ไม่มีการประกอบกิจการใดๆ ณ สถานที่ดังกล่าว และไม่พบกรรมการ พนักงานหรือบุคคล ที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ทั้งนี้ เจ้าบ้านได้ให้ข้อมูลว่ามีการตกลงยินยอมให้บริษัทฯ เช่าสถานที่เป็นที่ตั้งสำนักงานจริง แต่ไม่ทราบว่าเช่าเพื่อประกอบกิจการในชื่อบริษัทอะไร กรมฯ จึงได้มีหนังสือแจ้งให้บริษัทฯ จัดส่งบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีต่อกรมฯ โดยทันทีและจะตรวจสอบตามกฎหมายที่กรมฯ รับผิดชอบต่อไป พร้อมทั้งได้แจ้งข้อมูลไปยังอีกหลายหน่วยงานเพื่อพิจารณาดำเนินการตรวจสอบในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย”

ทั้งนี้ กรมฯ มีมาตรการเข้มงวดกับธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรงมากขึ้น โดยได้ออกคำสั่งให้ห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดที่ประสงค์จะดำเนินธุรกิจดังกล่าวต้องแสดงต้นฉบับบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน รวมถึงเอกสารแสดงฐานะทางการเงินที่ธนาคารออกให้ของหุ้นส่วนและผู้ถือหุ้นทุกคน เพื่อตรวจสอบว่ามีการร่วมลงทุนประกอบธุรกิจจริง และต้องมีหนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่จากเจ้าของอาคารที่จะใช้เป็นที่ตั้งสถานประกอบการ นอกจากนี้จะรับจดทะเบียนให้ต่อเมื่อมีเอกสารหลักฐานยืนยันว่าได้รับอนุญาตจาก สคบ. ให้ประกอบธุรกิจดังกล่าวก่อน หากขาดเอกสารอย่างใดอย่างหนึ่ง กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะพิจารณาไม่รับคำร้องขอจดทะเบียนอย่างเด็ดขาด

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SME ผู้จัดการออนไลน์” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *