xs
xsm
sm
md
lg

แนะปลูก "กระเจียว" รายได้งาม ส่งออกเป็นรองแค่กล้วยไม้ (มุมเกษตร)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ที่มา : กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตร

ชนิดและพันธุ์

พืชตระกูลกระเจียว ที่มีการส่งหัวพันธุ์ไปต่างประเทศมากที่สุด คือ ปทุมมา รองลงมาคือ บัวลาย กระเจียวส้ม และกระเจียวดอกขาว ตลาดต่างประเทศที่สำคัญคือ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ ซึ่งไม้สกุลนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

1.กลุ่มปทุมมา ที่มีรายงานได้แก่ ปทุมมา บัวลายปราจีน บัวลายลาว บัวลายกาญจน์ บัวขาว บัวขาวดอกใหญ่ เทพรำลึก ทับทิมสยาม ปทุมรัตน์ ช่อมรกต

2. กลุ่มกระเจียว ได้แก่ บัวชั้น กระเจียวส้ม พลอยไพลิน พลอยทักษิณ พลอยชมพู และกระเจียวพื้นเมืองตามภาคต่างๆ ของประเทศ

ขั้นตอนการปลูก

1. เริ่มจากการเตรียมดิน ควรไถตากดินนาน 10 - 14 วัน และโรยปูนขาวก่อนปลูก เพื่อช่วยลดปัญหาจากการเกิดโรค ขนาดแปลง 1.5 เมตร ระยะปลูก 30 X 30 เซนติเมตร จะปลูกได้ 4 แถว เพื่อสะดวกและง่ายต่อการดูแลรักษา

2.การปลูก ควรรองพื้นด้วยปุ๋ย 15-15-15 หรือ 16-16-16 และโรยปุ๋ยรอบโคนต้นทุกเดือน ในอัตรา 0.5 - 1 ช้อนกาแฟต่อต้น (ช้อนปาดไม่ใช่ช้อนพูน)

3. ลักษณะการวางเหง้าปลูกแบบวางเหง้านอนจะได้ช่อดอกมากกว่า ทั้งนี้เกษตรกรสามารถปลูกเพื่อผลิตช่อดอกและผลิตเหง้าในเวลาเดียวกัน

4.กระเจียวจะฟักตัวในช่วงอากาศแห้งแล้งและช่วงวันสั้นปกติเหง้าจะฟักตัวช่วงเดือนกันยายน และพร้อมจะงอกต้นใหม่อีกครั้งประมาณเดือนมีนาคม เจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูง ระบาย น้ำดี

5. การปลูกในแปลงต้องใส่ปุ๋ยหมักในอัตรา 3-6 ตันต่อไร่ แปลงปลูกควรมีความกว้างไม่น้อยกว่า 1 เมตร

6. ไม่ ควรใช้มูลสัตว์หรือปุ๋ยคอก เพราะจะทำให้ดินมีสภาพเป็นกรด เหมาะแก่การเจริญเติบโตของแบคทีเรียสาเหตุ โรคเน่า และควรโรยปูนขาวก่อนเตรียมแปลงปลูก ซึ่งจะทำให้ดินมีสภาพเป็นด่าง ช่วยลดโอกาศการเกิดโรคเน่า ดังกล่าว

7.สำหรับการปลูกในกระถางหรือถุงพลาสติกควรใช้ดินผสมโดยใช้ทราย : ขุยมะพร้าว : ถ่านแกลบ อัตรา 2 : 1 : 2 และผสมทรายหยาบเพิ่มในอัตราส่วน 1 : 1 ช่วยเพิ่มการระบายน้ำให้ดีขึ้น

8. การปลูกที่ทำให้เกิดการแตกกอได้ดีคือการปลูกให้ยอดของเหง้าชี้ลงดิน กลบหัวลึก 5 ซม. การปลูกด้วย วิธีนี้จะทำให้อิทธิพลการข่มของตายอดลดลงตามขวางของหัวพันธุ์ที่มีอยู่ 3 - 5 ตานั้นจะเจริญเป็นหน่อใหม่ได้ ทำให้เกิด ยอดขึ้นจำนวนมากทรงพุ่มงดงามและเกิดดอกมากตามไปด้วย

การขยายพันธุ์

1.การเพาะเมล็ด เนื่องจากว่าพืชสกุลนี้มีการพักตัวโดยธรรมชาติ จึงควรนำเมล็ดไปเก็บไว้ก่อน แล้วนำมาเพาะในฤดูปลูกถัดไป (ราวกลางเดือนเมษายน เป็นต้นไป) กระเจียวหลายชนิดติดเมล็ดได้ง่ายตามธรรมชาติ จึงสามารถนำเมล็ดมาเพาะได้แต่จะพบความแปรปรวนของต้นกระเจียวในการขยายพันธุ์แบบนี้ เพราะเมล็ดที่ได้อาจเกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ตามธรรมชาติ

2. การแยกหัวปลูก เป็นวิธีที่เกษตรกรนิยมปฏิบัติ ช่วงฤดูปลูกที่เหมาะสม คือ ในช่วงต้นฤดูฝน เนื่องจากสามารถให้ดอกได้เร็ว

3.การผ่าเหง้าปลูก เป็นวิธีการเพิ่มชิ้นส่วนของหัวพันธุ์ให้มากขึ้น โดยผ่าแบ่งตามยาวเป็น 2 ชิ้น เท่าๆ กัน แนวการผ่าจะต้องอยู่กึ่งกลางระหว่างตาที่อยู่สองข้างของเหง้า ชิ้นเหง้าที่ได้ควรมีตาข้างทีสมบูรณ์ไม่น้อยกว่า 1 ตา และมีรากสะสมอาหารติดมาด้วยอย่างน้อย 1 ราก วิธีนี้จะเป็นการประหยัดค่าหัวพันธุ์เริ่มต้น แต่เกษตรกรไม่นิยมเนื่องจากมีปัญหาเรื่องโรคเข้าทำลายบริเวณบาดแผล

4. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นการเลี้ยงจากส่วนของช่อดอกอ่อนที่ได้จากต้นที่ไม่เป็นโรค และยังมีกาบใบห่อหุ้มอยู่จะดีที่สุด มีข้อดีคือปราศจากเชื้อ หรือมีการปนเปื้อนน้อย เปรียบเทียบกับการใช้ชิ้นส่วนจากหัว จะมีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราสูงมาก ต้นเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะใช้เวลาประมาณ 1 ½ - 2 ปี ที่จะให้ดอกและหัวพันธุ์ที่ได้คุณภาพ

โรคและแมลงศัตรู

โรคที่สำคัญคือโรคหัวเน่า ใบจุด และใบใหม้ ซึ่งจะระบาดช่วงฝนตกชุก แต่ไม่พบแมลงศัตรูสำคัญ โรคเน่าเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดของพืชสกุลนี้ โดยโรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Pseudomonas solanacearum ซึ่งเติบโตได้ดีในดินที่มีสภาพเป็นด่างโรคนี้เป็นปัญหาสำคัญในการป้องกันกำจัด เนื่องจากเชื้อนี้สามารถพัฒนาพันธุ์ให้ต้านทานสารเคมีได้และยังสามารถพักตัวอยู่ในดินได้นานนับปี

สำหรับลักษณะอาการของโรค ระยะเริ่มแรกใบแก่ที่อยู่ตอนล่างๆ จะเหี่ยวตกลู่ลง ต่อมาจะม้วนเป็นหลอดและเหลือง ลามจากล่างขึ้นไปยังส่วนบน จนเหลืองแห้งตายทั้งต้น บริเวณโคนต้นและหน่อที่แตกออกมาใหม่มีลักษณะช้ำฉ่ำน้ำจะเน่าเปื่อยหักหลุดออกจากหัวได้ง่าย เมื่อผ่าต้นดูจะเห็นข้างในเป็นสีคล้ำหรือน้ำตาลเข้มและมีเมือกเป็นของเหลวสีขาวข้น ซึมออกมาตรงรอยแผล หัวอ่อนที่เป็นโรคจะมีรอยช้ำฉ่ำน้ำ เมื่ออาการรุนแรงขึ้นหัวจะเปื่อยยุ่ยและสีคล้ำขึ้น

ความต้องการของตลาด

ในการส่งออกปทุมมาสามารถส่งออกได้ 2 รูปแบบ คือ รูปของหัวพันธุ์ และไม้ตัดดอก ส่วนใหญ่ปทุมมาจะส่งออกในลักษณะของหัวพันธุ์มาตรฐาน หัวพันธุ์ปทุมมาที่ส่งออก ควรมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.8 นิ้ว มีตุ้มอาหารตั้งแต่ 4 ตุ้มขึ้นไป ตุ้มต้องไม่หัก ไม่เป็นโรค และต้องทำความสะอาดไม่มีดินติดไป

สำหรับไม้ดอกกลุ่มปทุมมามีข้อได้เปรียบตรงที่ก้านช่อดอกยาว ช่อดอกชูเหนือทรงพุ่ม น้ำหนักน้อย ขนส่งง่าย อายุการใช้งานค่อนข้างทน จึงได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ชอบโทนสีชมพูหวานๆ จะเป็นผู้สั่งซื้อรายใหญ่ ซึ่งพันธุ์ที่มีการทำเป็นการค้าและได้รับความนิยม คือพันธุ์เชียงใหม่ ซึ่งมีใบประดับสีชมพู แต่ถ้าไม่มีแต้มสีน้ำตาลที่ปลายกลีบ ตลาดจะมีความต้องการสูง

ส่วนลักษณะพันธุ์ที่ต้องการเพื่อใช้เป็นไม้ตัดดอก คือ ต้องมีก้านดอกแข็งแรง แต่ไม่อ้วนจนเกินไป จำนวนกลีบรองดอกมีมากพอสมควร คือ10 - 14 กลีบ และมีสีกลีบประดับบริสุทธิ์ ลักษณะพันธุ์ที่ต้องการเพื่อทำเป็นไม้กระถาง คือ ลักษณะก้านดอกค่อนข้างสั้น เพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้าย และไม่ล้มง่าย ใบสวย สามารถให้ดอกพร้อมกันในกระถางอย่างน้อย 3 ดอก อายุการให้ดอกนาน

การเก็บเกี่ยวและการบรรจุหีบห่อ

การตัดดอกควรตัดดอกในระยะที่ดอกจริงบานแล้วทั้งหมด 3 - 5 ดอกโ ดยให้ใบติดมาด้วย 1 - 2 ใบ ในกรณีปทุมมาพันธุ์เชียงใหม่ จะใช้เวลา 35 - 120 วัน หลังจากปลูก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคุณภาพหัวพันธุ์ ควรเก็บเกี่ยวในตอนเช้า และแช่โคนก้านช่อดอกในน้ำสะอาดทันที

การเก็บเกี่ยวหัวพันธุ์ เมื่อใบ และลำต้นเตรียมแห้งและยุบตัวลง เหลือแต่เหง้าและตุ้มรากฝังตัวอยู่ในดิน ในช่วงนี้ต้องเริ่มงดน้ำ เพื่อให้หัวพันธุ์มีการสะสมอาหารที่หัวเต็มที่ป้องกันไม่ให้เหง้าและรากสะสมอาหารเน่า แต่ก่อนขุดควรรดน้ำจะช่วยให้ดินอ่อนตัวลงเพื่อความสะดวกในการขุด และแยกหัวพันธุ์ที่ขุดได้ออกจากดินหลังจากขุดแล้วต้องนำไปล้างทำความสะอาด แล้วนำมาจุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อราและแมลง ผึ่งบนตะแรกงในที่ร่ม ระบายอากาศดีเพื่อให้ผิวนอกของเหง้าแห้งสนิท

การคัดขนาดหัวพันธุ์ส่งออก แบ่งเป็น 3 เกรด คือ หัว กลาง ท้าย หัว คือ หัวพันธุ์ที่คัดเลือกว่ามีลักษณะดีเด่นที่สุด มีตุ้มอาหารมากว่า 4 ตุ้มอาหารขึ้นไป มีน้ำหนักมาก ซึ่งจะเก็บไว้เป็นหัวพันธุ์ต่อไป กลางคือหัวพันธุ์ที่มีตุ้มอาหาร 3 - 4 ตุ้มอาหารขึ้นไป สามารถส่งออกได้และท้ายคือหัวที่มีตุ้มอาหารน้อยกว่า 3 ตุ้ม ไม่สามารถส่งออกได้ การบรรจุหีบห่อ เป็นแบบกล่องกระดาษ ขนาดความสูงประมาณกล่องลำไย ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์รองก้นกล่อง เจาะรูหัว - ท้าย และด้านข้างกล่อง เพื่อให้มีการระบายอากาศ

ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ

เนื่องจากปทุมมา เป็นพืชที่มีศักยภาพในการส่งออก สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศหลายล้านบาท และมีแนวโน้มในการส่งออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกษตรกรสนใจหันมาปลูกกันมากขึ้น จึงทำให้เกิดปัญหาในการส่งออกหัวพันธุ์ แต่เนื่องจากหัวพันธุ์มีเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคหัวเน่า ประเทศผู้นำเข้าอาจงดการนำเข้าหัวพันธุ์จากประเทศไทย กรมวิชาการเกษตร จึงได้มีข้อควรรู้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยมีข้อควรรู้แก่ผู้ผลิตและผู้ส่งออก ควรนำไปปฏิบัติซึ่งอาจเป็นมาตรการสำหรับผู้ผลิตและผู้ส่งออกในอนาคต ดังนี้

การขึ้นทะเบียนผู้ปลูก ผู้ส่งออกปทุมมา โดยผู้ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนไว้จะไม่สามารถส่งออกได้ และการตรวจสอบหัวพันธุ์ที่จะส่งออก เพื่อให้ใบรับรองปลอดโรค รวมถึงการตรวจแปลงปลูกเป็นระยะๆ โดยนักวิชาการจากกรมวิชาการเกษตรเพื่อที่จะให้ใบรับรองปลอดโรคแก่ผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตที่แจ้งควาจำนงไว้

นอกจากนั้น ผู้ผลิตหัวพันธุ์ปทุมมาเพื่อการส่งออก จะต้องมีการปฏิบัติดูแลรักษาตามหลักมาตรฐานที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด เช่น ใช้หัวพันธุ์ปลอดโรค การปฏิบัติดูแลแปลงตามมาตรฐานที่กำหนดอื่นๆ เป็นต้น

*******************

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น