สสว. กางมาตรการอุ้ม SMEs ฝ่าวิกฤต ผ่าน 8 โครงการใหญ่ วงเงิน 12,700 ล้านบาท แจงช่วยเหลือครบวงจรทั้งการเงิน การตลาด และเพิ่มประสิทธิภาพ เชื่อช่วยผู้ประกอบการได้ประโยชน์เกิน 12 ล้านราย เผยสถานการณ์เริ่มกลับมาเห็นแสงสว่างหลังการเมืองคลี่คลาย
นายปฏิมา จีระแพทย์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า แนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จากปัญหาวิกฤตต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาการเมืองที่ผ่านมา สสว. ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในด้านการติดตามสถานการณ์ SMEs อย่างใกล้ชิด และเตรียมออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้ง SMEs OTOP และวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศอย่างครบวงจร ทั้งในด้านการเงิน การตลาด และการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเสริมสภาพคล่อง ส่งเสริมช่องทางการตลาด และพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการในด้านต่างๆ ประกอบด้วย 8 โครงการ วงเงินงบประมาณ 12,783.70 ล้านบาท ได้แก่
1. โครงการการชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อบรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและเสริมสภาพคล่องโดยการลดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. ในอัตราร้อยละ 1.75 ในปีแรก ให้กับผู้ประกอบการจำนวน 5,000 ราย วงเงินงบประมาณ 262.8 ล้านบาท
2. โครงการ SMEs Restart เพื่อเสริมสภาพคล่องและลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจ่ายธนาคาร โดยร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย ชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ SMEs ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี วงเงิน 1 ล้านบาทต่อราย จำนวน 10,000 ราย เป็นเวลา 3 ปี วงเงินงบประมาณ 800 ล้านบาท
3. การลงทุนในธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายย่อย (Micro Credit) เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันและมีอัตราดอกเบี้ยไม่สูงเกินไป ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเกี่ยวกับการอนุญาตให้นิติบุคคลดำเนินธุรกิจให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นรายย่อย
4. โครงการเชื่อมโยงการตลาด SMEs อย่างยั่งยืน (SMEs Marketing Connect) ซึ่ง สสว. บูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งหน่วยร่วมที่ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ สสว. โดยมุ่งให้การส่งเสริมช่องทางการตลาดแก่ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่ม High Growth และ High Impact จำนวน 500 ราย ประกอบด้วย 1.ช่องทางการตลาดผ่าน Modern Trade และ 2.ช่องทางการตลาด SME@Click โดยจัดทำ Digital Content เพื่อรองรับช่องทางการตลาด Online ได้แก่ TV Shop Channel / Smartphone Shopping และ E-Marketplace วงเงินงบประมาณ 95 ล้านบาท
5. โครงการส่งเสริมธุรกิจบริการเพื่อสุขภาพให้เป็นศูนย์กลางของอาเซียน (ASEAN Hub of Wellness) และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง โดยร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กระทรวงสาธารณสุข สมาคมท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพไทย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ และสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมบริการเพื่อสุขภาพ ให้เกิดการรวมกลุ่มเครือข่ายธุรกิจทั้งภายในประเทศและระหว่างประทศในอาเซียน โดยจัดทำมาตรฐานสินค้าและบริการด้านท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของอาเซียน ศึกษาวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค รวมทั้งสนับสนุนกิจกรรมทางการตลาดเพื่อเสริมรายได้ ระยะเวลา 3 ปี วงเงินงบประมาณ 250 ล้านบาทต่อปี
6. โครงการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs เพื่อการค้าชายแดน โดยร่วมกับ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รวมถึงจังหวัดที่มีด่านการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดนและผู้ที่ดำเนินธุรกิจส่งออกกับประเทศเพื่อบ้าน ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น เสริมสร้างเครือข่าย จัดทำฐานข้อมูล และจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ โดยส่งเสริมผู้ประกอบการเป็นเวลา 3 ปี รวม 4,500 ราย (1,500 รายต่อปี) และพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าชายแดน 5 จุด โดยใช้งบประมาณ 225 ล้านบาท
7. โครงการสนับสนุนการปรับปรุง/ฟื้นฟู เครื่องจักร ให้แก่ SMEs (Machine Fund) เพื่อลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ SMEs ที่มีการพัฒนา ปรับปรุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักรการผลิต โดยการชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการจำนวน 1,000 ราย ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี วงเงินสนับสนุนไม่เกิน 3.5 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลา 3 ปี วงเงินงบประมาณ 3,100 ล้านบาท
8. โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบและวิจัยพัฒนายานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศที่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 1.7 ล้านล้านบาท และมีผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตเป็นจำนวนมาก โดยร่วมกับ สถาบันยานยนต์ และสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม เพื่อจัดตั้งศูนย์ทดสอบและวิจัยพัฒนายานยนต์ รวมทั้งจัดทำสนามทดสอบการจำลองสถานการณ์การขับขี่เพื่อประเมินสมรรถนะสำหรับทดสอบรองรับมาตรฐานในประเทศและมาตรฐานแนบท้าย ASEAN MRA รวมถึงด้านการวิจัย โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี วงเงินงบประมาณ 8,050.9 ล้านบาท
ผอ.สสว. กล่าวด้วยว่า จากการติดตามและศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับผลกระทบทางการเมืองต่อผู้ประกอบการ SMEs ซึ่ง สสว. ดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม พฤษภาคม ที่ผ่านมา พบว่า ปัจจุบัน สถานการณ์ของ SMEs ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย และมีแนวโน้มที่จะลดความกดดันทางเศรษฐกิจในระยะสั้น และการพิจารณาทบทวนการลงทุนโครงการพื้นฐานของภาครัฐ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคและนักลงทุนได้
และจากโครงการภายใต้มาตรการความช่วยเหลือนี้ มีทั้งโครงการที่ สสว. สามารถดำเนินการได้เองภายหลังได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการส่งเสริม SMEs และโครงการที่ สสว. เห็นควรผลักดันให้มีการดำเนินการเพราะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวหากได้รับความเห็นชอบจากผู้บริหารประเทศ จะช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs ทั้งระบบที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 2.8 ล้านราย ได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 12 ล้านคน
นายวิเชษฐ วรกุล รองผู้จัดการทั่วไป สายงานธุรกิจ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้ข้อมูลเสริมในส่วนมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อยู่ระหว่างการขอสินเชื่อ โดยทาง บสย.จะช่วยเหลือค้ำประกัน โดยเบื้องต้น บสย.ได้หารือกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อขอพิจารณาสนับสนุนเงินค่าธรรมเนียมให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้ สสว. จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันแทนเอสเอ็มอีในปีแรก คิดเป็นเงินสนับสนุนค่าธรรมเนียมค้ำประกันวงเงิน ประมาณ 262 ล้านบาท มีวงเงินค้ำประกันรวมไม่เกิน 15,000 ล้านบาท ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 5 ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินประมาณ 26,000 ล้านบาท สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 146,000 ล้านบาท
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SME ผู้จัดการออนไลน์” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *