xs
xsm
sm
md
lg

“ธีรยุทธ” เปิดตัว Restart ไทย 5 ข้อ ชี้ “แม้ว” ยอดสุดปัญหา ยันคิดขัดแย้งได้แต่อย่าทำร้ายกัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ธีรยุทธ” เปิดตัว “เครือข่ายผู้รับใช้การปฏิรูปประเทศโดยสันติของประชาชนไทย” รวม 217 ราย แถลง “Restart ประเทศไทย” 5 ข้อ ปรับปรุงโครงสร้างระบบ และกม., การเมืองและลดเหลื่อมล้ำรายได้, กระบวนการยุติธรรม, สร้างธรรมาภิบาล ศก. และเสริมพลังพลเมือง นัดเครือข่ายคุย 31 ม.ค.จวกนักการเมืองโลภใช้อำนาจตามใจ ชี้ “แม้ว” ยอดสุดของปัญหาทำชาติพัง ชู คปท.สู้เริ่มแรกคือความหวัง ระบุขัดแย้งเลื่อนโหวตหรือไม่ก็ไม่ควรสูญเสีย ยันเห็นด้วยทุกกลุ่มรวมพวกจุดเทียน แต่ไม่เอาระบอบทักษิณ

วันนี้ (28 ม.ค.) ที่โรงแรมสุโกศล เครือข่ายผู้รับใช้การปฏิรูปประเทศโดยสันติของประชาชนไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มบุคคลที่มีชื่อเสียงทางสังคม ทั้งจากภาคธุรกิจ วิชาการ ประชาสังคม จำนวน 217 คน นำโดย นายธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการสถาบันสัญญาธรรมศักดิ์ ม.ธรรมศาสตร์ นายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีต ส.ว.กทม. นายสมเกียรติ อ่อนวิมล อดีต ส.ว.สุพรรณบุรี ได้จัดแถลงข่าว “Restart ประเทศไทย” เพื่อสะท้อนความเห็นว่าประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤตรอบด้าน ทั้งการเมืองการปกครอง ความเหลื่อมล้ำของสังคม ระบบการศึกษาที่อ่อนแอ องค์การสื่อใช้เสรีภาพโดยขาดความรับผิดชอบต่อสังคม จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ภาคประชาชนต้องร่วมกันปฏิรูป

โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.การปฏิรูปปรับปรุงโครงสร้าง ระบบและกฎหมายที่จำเป็น เพื่อขจัดการคอร์รัปชัน โกงกินบ้านเมือง 2.ปฏิรูปโครงสร้างการเมือง การปกครอง และระบบบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ 3.ปฏิรูปโครงสร้างและกระบวนการยุติธรรม 4.ปฏิรูปโครงสร้างเพื่อป้องกันการผูกขาด สร้างธรรมาภิบาลเศรษฐกิจ และ 5.ปฏิรูปสังคมเพื่อเสริมสร้างพลังพลเมืองที่เข้มเข็ง โดยมีวัตถุประสงค์ เชื่อมโยงกลุ่มบุคคลที่มีจุดยืนในการปฏิรูปเข้าด้วยกัน และประคับประคองประเทศในระยะเปลี่ยนผ่านให้เป็นไปด้วยสันติ และเป็นเพียงผู้รับใช้การปฏิรูปประเทศ และสร้างเสริมเครือข่ายให้มากขึ้นตามภูมิภาคต่างๆ โดยไม่รอว่าต้องเลือกตั้งก่อนหรือไม่ โดยในวันที่ 31 ม.ค.จะมีการประชุมเครือข่ายจาก 77 จังหวัด เพื่อหารือถึงการจัดเวทีการพูดคุย ที่ จ.นครราชสีมา เชียงใหม่ หาดใหญ่ ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

โดย นายสมเกียรติ กล่าวถึงการ Restart ประเทศไทย ในมุมมองของสื่อมวลชนว่า สื่อมวลชนถือเป็นตัวแปรสำคัญในการปฏิรูปประเทศ และสื่อต้องรักษาอิสรภาพเสรีภาพในการค้นหาความจริง และทำงานควบคู่ไปกับกลุ่มเครือข่ายปฏิรูปประเทศ โดยยึดมั่นหลักวิชาชีพ อิสระ และเสรีภาพของสื่อมวลชน นำเสนอรายงานข้อเท็จจริง เน้นการรับใช้ประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ และต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างเปิดกว้างเพื่อสะท้อนความต้องการของประชาชนออกมา

นางวรวรรณ ธาราภูมิ ตัวแทนภาคธุรกิจ กล่าวว่า สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำ คนที่รวยที่สุดในสังคมเป็นกลุ่มชนชั้นที่บั่นทอนระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสามารถผลักดันและชี้นำรัฐบาลให้ออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มของตนได้ และกีดกันชนชั้นอื่นๆออกไปจากเส้นทางผลประโยชน์ และหากกระทำผิดก็จะไม่ถูกดำเนินคดี และมีการกระซิบให้หนีออกนอกประเทศ และภาคธุรกิจส่วนใหญ่จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะมีข้อบังคับไว้อยู่ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าคิดผิด เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้การเมืองเอื้อให้กับนายทุน และมีความเกี่ยวข้องกันอย่างชัดเจน หากจะเริ่มต้นต้องเริ่มจากการปฏิรูปตัวเอง และเชิญชวนให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วม เนื่องจากภาคการเมืองอ่อนแอ แต่ก็จะไม่โทษมีส่วนชี้นำและบั่นทอนระบอบประชาธิปไตย โดยสามารถผลักดันให้ในนามภาคธุรกิจ เมื่อภาคการเมืองอ่อนแอเนื่องจากมีเถ้าแก่ในแต่ละพรรค ดังนั้นภาคประชาชนต้องช่วยกันในการปฏิรูปประเทศ

ด้าน นายโสภณ สุภาพงศ์ อดีต ส.ว.กทม.กล่าวว่า นักการเมืองมีการเอาเปรียบคนจน โกงกินบ้านเมือง โดยจะเห็นได้จากดัชนีที่ต่างชาติประเมินประเทศไทยที่เลวร้ายไปเรื่อยๆ ทั้งการคอร์รัปชัน การไม่ไว้วางใจการทำงานของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจ และปัจจุบันนักการเมืองก็มีการคดโกง ดังนั้นกฎหมายต้องมีการปฏิรูป และสังคมก็ต้องช่วยกันปกป้องข้าราชการที่ทำดี

ขณะที่ นายปราโมทย์ ไม้กลัด กล่าวว่า ระบบข้าราชการของประเทศไทยถูกแทรกแซงโดยนักการเมืองเป็นอย่างมาก ทำให้ข้าราชการไม่กล้าใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ และก่อนหน้านี้ มีการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานราชการ แต่ก็ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาอย่างถูกจุด และส่วนตัวในฐานะที่เป็นข้าราชการเก่า การแก้ปัญหาโครงสร้างราชการนั้น ต้องป้องกันการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองให้ได้

จากนั้น นายธีรยุทธ ได้กล่าวว่า นักการเมืองไทยมีความโลภ และใช้อำนาจตามอำเภอใจอย่างไม่มีขีดจำกัด ซึ่งจะทำให้ประเทศพังพินาศ และจากการสังเกตการเมือง ตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาสู่อำนาจ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ทั้งหมดของปัญหา แต่เป็นยอดสุดของปัญหา มีส่วนสำคัญในการทำให้โครงสร้างต่างๆ มีการพังทลายลงไป เช่น โครงสร้างระบบพรรคการเมือง โครงสร้างของอำนาจ 3 ฝ่าย รวมไปถึงระบบตรวจสอบของสื่อเสียศูนย์ไปมาก เพราะสมัย 14 ต.ค.สื่อมวลชนมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่ทำให้การต่อสู้ของนักศึกษาประสบความสำเร็จ แต่ตอนนี้จิตวิญญาณการตรวจสอบพังทลายไป รวมถึงโครงสร้างข้าราชการ กลุ่มธุรกิจ ก็ได้พังทลายลงไป และสุดท้ายคือโครงสร้างคุณธรรมจริยธรรม ที่มองว่ามีความเสียหายไปแล้วกว่าครึ่ง โดยจะเห็นได้จากการขู่อาฆาตกันโดยปราศจากความรู้สึก ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่า การที่ กปปส.ระบุว่าต่อสู้กับการโกงกินของนักการเมืองเพื่อลูกหลาน ถือว่าฟังขึ้น

นายธีรยุทธ กล่าวด้วยว่า ตนได้เห็นการต่อสู้ของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ตั้งแต่สมัยที่อยู่แยกอุรุพงษ์ มองว่าเป็นการต่อสู้เพื่อปฏิรูปประเทศที่มั่นคง ซึ่งถือเป็นความหวังและเป็นประเด็นที่ถูกต้องคล้ายกับเมื่อปี 2540 ถือเป็นความหวังของคนกรุงเทพฯทุกสาขาอาชีพ จนมีการสนับสนุนผ่านการบริจาคอย่างมากมาย สะท้อนให้เห็นถึงอาการทนไม่ไหวกับการทุจริตคอร์รัปชันที่ไม่มีขีดจำกัด ตกผลึกเป็นความคิดในการปฏิรูปประเทศของภาคประชาชนที่ชัดเจนขึ้น เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด และปัจจุบันคนไทยเกาะกลุ่มกันเป็นกลุ่มย่อยแสวงหาผลประโยชน์ให้กับกลุ่มตัวเอง ทำให้เห็นว่าโครงสร้างของประเทศมีปัญหา จึงเป็นสิ่งที่เราต้องช่วยกัน และปรากฏการณ์การออกมาชุมนุมของ กปปส.ไม่ใช่กระแสที่ฉาบฉวย เพราะในบางพื้นที่ที่ประชาชนอยู่อย่างกินดีมีสุข ก็ออกมาสนับสนุนการเดินขบวนของ กปปส. หากใครที่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของตน ก็ขอให้ออกมาแสดงความกล้า เพราะอาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่ทำให้บ้านเมืองกับมาดีได้

นายธีรยุทธ กล่าวอีกว่า การรับฟังข่าวสารอย่างรอบด้าน ทบทวนข้อมูล และสร้างความเข้าใจที่ดีให้กับประชาชนในสังคม จะช่วยลดความขัดแย้งที่รุนแรงให้กับกลุ่มผู้ที่มีความเห็นแตกต่างทางการเมืองได้ ซึ่งในการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ ส่วนตัวมองว่าเป็นความต่างทางความคิดในระดับประชาชน คือ กลุ่มคนที่ต้องการรักษาสิทธิการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง กับกลุ่มคนที่ต้องการปฏิรูปการเมืองก่อนเลือกตั้ง โดยมุ่งการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน เนื่องจากปัญหากระทบต่อสิทธิและการดำเนินชีวิต

นายธีรยุทธ กล่าวต่อว่า ความขัดแย้งเรื่องการเลือกตั้งว่าจำเป็นต้องเลื่อนออกไปหรือไม่นั้น เป็นความขัดแย้งทางความคิดที่ไม่ควรต้องสูญเสียเลือดเนื้อ เพราะกลุ่มหนึ่งต้องการเรียกร้องใช้สิทธิของตัวเอง แต่อีกกลุ่มเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน ซึ่งต่างมีสิทธิของตัวเองทั้งคู่ ทั้งนี้ตนเคารพทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งพวกจุดเทียนตนก็ชอบ ที่แสดงความรักในประชาธิปไตย ส่วนผู้ที่ออกมาชุมนุมให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งก็เห็นใจ เพราะต่อสู้มานาน ทั้งนี้ตนเห็นด้วยกับทุกกลุ่ม แต่ไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณ “ถ้าเจอหน้ากันตนก็พร้อมทำผิดกฎหมายแรงๆ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ” และการดูหมิ่นดูแคลนระหว่างคนจนคนรวย และคนที่ต่างภูมิภาคกันนั้น ก็ไม่ควรเกิดขึ้น ขอเรียกร้องไม่ให้นำประเด็นดังกล่าวไปขยายความ และประเทศของเราเกิดกระแสการปฏิรูปมาหลายครั้ง แต่ก็ถูกมองข้ามไป เพราะหลายคนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องง่าย แต่ที่จริงแล้วทุกคนในสังคมต้องช่วยกัน ก่อนหน้านี้ เคยใช้คำว่า “สังคมเข้มแข็ง” นั้นตอนนี้ขอเปลี่ยนเป็น “สังคมเอาจริง” เพื่อช่วยกันปฏิรูปประเทศ ตรวจสอบการคอร์รัปชัน กดดันนักการเมืองที่โกงกินในรูปแบบต่างๆ แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ













กำลังโหลดความคิดเห็น