สสว.สรุปสถานการณ์ SMEs ประจำปี 56 ซึมตาม ศก.ประเทศชะลอตัว โตแค่ร้อยละ 3.3 ภาคส่งออกหดร้อยละ 9.3 เชื่อผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว คาดปี 57 กลับมาฟื้นตัว อัตราขยายที่ร้อยละ 4.3-4.7 จากปัจจัยบวกทั้งในและต่างประเทศมีทิศทางดีขึ้น
นายปฏิมา จีระแพทย์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวในการแถลงสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ปี 2556 และคาดการณ์แนวโน้มปี 2557 ว่า ปัจจุบัน SMEs มีจำนวนทั้งสิ้น 2.74 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 98.5 ของจำนวนวิสาหกิจรวมทั้งหมด ก่อให้เกิดการจ้างงาน 11.78 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 80.4 ของการจ้างงานรวมทั้งหมด
จากการศึกษาวิเคราะห์เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ SMEs ปี 2556 โดยข้อมูลในรอบ 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม) เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555 พบว่า การส่งออกของ SMEs มีมูลค่ารวม 1,571,145.18 ล้านบาท หดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 9.3 โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ พลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก ยางและของที่ทำด้วยยาง โดยประเทศคู่ค้าหลักของ SMEs ไทย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ตามลำดับ
ด้านการจัดตั้งและยกเลิกกิจการในรอบ 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม) เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555 พบว่า SMEs มีการจดทะเบียนจัดตั้งกิจการใหม่จำนวน 59,999 ราย ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.5 โดยเดือนตุลาคมมีกิจการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่จำนวน 5,262 ราย กิจการที่จัดตั้งใหม่สูงสุดในช่วงไตรมาส 3 ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป บริการด้านวิทยุและโทรทัศน์ และอสังหาริมทรัพย์ ส่วนการยกเลิกกิจการในรอบ 10 เดือนมีจำนวน 11,070 ราย หดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.4 โดยเดือนตุลาคมมีกิจการที่ยกเลิกจำนวน 1,581 ราย กิจการที่ยกเลิกสูงสุดในช่วงไตรมาส 3 ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป บริการนันทนาการ และอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ จากการประเมินสถานการณ์ของ สสว. พบว่าภาวะเศรษฐกิจของ SMEs ในปี 2556 ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และกำลังจะเข้าสู่ภาวะขาขึ้น เห็นได้จากการขยายตัวของยอดการผลิตสินค้าต่างๆ เช่น รถยนต์นั่ง พาหนะเพื่อการพาณิชย์ ซีเมนต์ผสม ฯลฯ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ MAI พื้นที่ก่อสร้างที่ได้รับอนุญาต และปริมาณเงินความหมายแคบ คาดว่าเมื่อถึงสิ้นปี 2556 เศรษฐกิจของ SMEs (GDP SMEs) จะขยายตัวร้อยละ 3.3 ต่ำกว่าเป้าที่เคยคาดไว้เมื่อต้นปีอยู่ที่ร้อยละ 4-5 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศที่ต่ำกว่าเป้า โดยคาดจะอยู่ที่ร้อยละ 3 ผลจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น ราคาพืชผลการเกษตรหลายประเภทตกต่ำ การส่งออกมีอัตราการขยายตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนด้านพลังงานสูงขึ้น สถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง รวมทั้งเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าหลักที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ผอ.สสว.กล่าวต่อว่า สำหรับคาดการณ์แนวโน้มปี 2557 คาดว่าเศรษฐกิจประเทศ (GDP) จะมีการขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.5 ซึ่งทำให้การขยายตัวของ SMEs (GDP SMEs) สอดคล้องกับเศรษฐกิจประเทศ โดยมีอัตราขยายที่ร้อยละ 4.3-4.7 เป็นผลมาจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ขยายตัวดีขึ้นเกือบทุกด้าน โดยการบริโภคภาคครัวเรือนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เนื่องจากประชาชนมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นจากมาตรการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ขณะที่หนี้สินภาคครัวเรือนมีแนวโน้มลดลง อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มคงที่ในระดับต่ำซึ่งสนับสนุนการขยายตัวของการบริโภค การใช้จ่ายของรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นตามงบประมาณปี 2557 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.6 ผลจากการเติบโตของการลงทุนของรัฐบาลที่จะเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 9.9 จากโครงการบริหารจัดการน้ำและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ
นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว รวมทั้งค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากการปรับลด QE ของสหรัฐฯ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าขยายตัว โดยเฉพาะด้านบริการที่สำคัญคือการท่องเที่ยวของประเทศ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย คาดว่าการส่งออกสินค้าและบริการโดยรวมมูลค่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 ส่วนการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6 และ 7 ตามลำดับ
ส่วนปัจจัยเสี่ยงมาจากผลกระทบภายนอกประเทศที่ไม่สามารถกำหนดได้ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อาจผันผวน รวมถึงการเมืองภายในประเทศที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและผู้บริโภค
นายปฏิมาเปิดเผยต่อว่า จากการที่ สสว.ทำการวิเคราะห์โดยใช้ตารางปัจจัย-ผลผลิตของ SMEs (SME input-Output Table: IO Table) จำนวน 58 สาขา ทั้งในภาคการผลิต ภาคการค้า และภาคบริการ และผลการศึกษาแนวทางการส่งเสริมกลุ่มธุรกิจ SMEs ที่มีการเติบโตสูงของประเทศไทย (SME High Growth Sectors) พบว่า กลุ่มธุรกิจที่จะมีอนาคตสดใสเป็นดาวรุ่ง และกลุ่มธุรกิจที่ต้องเฝ้าระวังในปี 2557 มีดังนี้
กลุ่มธุรกิจดาวรุ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการแข่งขัน สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1. กลุ่มธุรกิจ SMEs ที่มีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกและภูมิภาค ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มธุรกิจบริการด้านสุขภาพ กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจยานยนต์และชิ้นส่วน/อะไหล่ และกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
2. กลุ่มธุรกิจ SMEs ที่ต้องพึ่งพิงกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในการแข่งขันในตลาดโลกและภูมิภาค เช่น กลุ่ม SMEs ในภาคก่อสร้าง ซึ่งมีโอกาสในการขยายตลาดโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศสมาชิก AEC ที่กำลังเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาประเทศ ซึ่งการส่งเสริมให้มีความร่วมมือระหว่างวิสาหกิจขนาดใหญ่และ SMEs ด้วยการพัฒนาคลัสเตอร์และห่วงโซ่อุปทานของประเทศไทย จะช่วยให้ SMEs ในธุรกิจดังกล่าวสามารถขยายตลาดไปสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลกได้เป็นอย่างดี
3. กลุ่มธุรกิจ SMEs ที่รัฐต้องวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่รอดและเติบโตต่อไป ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทน กลุ่มเกษตรกรรมโดยเฉพาะพืชพลังงาน กลุ่มขนส่งและลอจิสติกส์ กลุ่มบริการด้านการศึกษา กลุ่มธุรกิจ IT และ ICT รวมถึงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาและส่งเสริม SMEs ให้ได้รับมาตรฐานในระดับสากล รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี
ในส่วนกลุ่มธุรกิจที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งเป็นสาขาธุรกิจหรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตของผลผลิตต่ำในปี 2555-2556 เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ และสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ประเทศที่มีต้นทุนแรงงานและวัตถุดิบต่ำกว่า เช่น จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1. กลุ่มธุรกิจหรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้แรงงานมาก เช่น เครื่องหนัง การผลิตกระเบื้องเคลือบ ผลิตภัณฑ์แก้ว ผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องประดับ ซึ่งมีการขยายตัวน้อยไปจนถึงหดตัว (ขยายตัวร้อยละ 0.22 ถึงหดตัวร้อยละ 11.0 )
2. กลุ่มโลหะ-อโลหะมูลฐานที่เป็นวัตถุดิบ เช่น เหมืองแร่ เหล็ก ถ่านหิน (มีการหดตัวลง ระหว่างร้อยละ 1.5 ถึง 12.3)
และ 3. กลุ่มบริการทางธุรกิจบางประเภท เช่น บริการส่วนบุคคล มีการหดตัวเล็กน้อยร้อยละ 1.12
นอกจากนั้น ในด้านความต้องการของ SMEs นั้นแบ่งเป็น 2 ด้านหลัก คือ เงินทุน และการตลาด โดยทาง สสว.จะพยายามเข้าไปช่วยเหลือทั้งสองด้านอย่างใกล้ชิด ซึ่งปีหน้า 2557 ด้านการเงิน สสว.จะมีทั้งโครงการเข้าไปช่วยชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ SMEs อีกทั้ง ประสานกับสถาบันการเงินเพื่อให้ผู้ประกอบการระดับรายย่อยสามารถกู้เงินได้โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน
ส่วนด้านการตลาด สสว.จะเข้าไปช่วยสร้างตลาดใหม่ผ่านการหยิบโครงการที่เคยมีอยู่ในอดีตนำกลับมาปัดฝุ่นใหม่ เช่น โครงการร้านชุมชนยิ้ม พาผู้ประกอบการไปเปิดตลาดเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน รวมถึงประสานกับทูตพาณิชย์เพื่อขยายตลาดไปยังประเทศที่มีศักยภาพสูง เช่น อินเดีย และแอฟริกา เป็นต้น
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SME ผู้จัดการออนไลน์” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *