รัฐบาลจีนปรับโครงสร้างพึ่งการบริโภคในประเทศพร้อมหนุนนโยบายกินดีอยู่ดี สร้างโอกาสใหม่ผู้ประกอบการไทยหลายมิติ
จากการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจจีนช่วงครึ่งปีหลัง กอปรกับ 6 เดือนที่ผ่านมาขีดความสามารถของผู้ส่งออกไทยในตลาดจีนลดลงในรอบหลายปีจากอุปสงค์ของตลาดโลกที่จีนเป็นฐานการผลิตใหญ่ชะลอตัว โดยเฉพาะสินค้าประเภทอุปกรณ์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ส่งผลให้การส่งออกของไทยในเชิงมูลค่าลดลง เพราะตลาดแข่งขันมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ประกอบการไทยยังคงมีโอกาสอีกมหาศาลในตลาดจีน เนื่องจากนโยบายหลายๆ ด้านของภาครัฐฯ
นายไพจิตร วิบูลย์ธนสาร อัครราชทูตฝ่ายพาณิชย์ประจำสถานทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง เปิดเผยว่า ปัจจุบันจีนกำลังปรับโครงสร้างหันมาพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศแทนการพึ่งพาภาคการส่งออกเช่นในอดีต เนื่องจากไม่มั่นใจในทิศทางของเศรษฐกิจโลก
“ตัวขับเคลื่อนที่รัฐบาลจีนหยิบมาเติมในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานั้น เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลท้องถิ่นหันมาให้ความสนใจเรื่องการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ในอีกมุมหนึ่งคือ ขณะนี้คนกว่าครึ่งประเทศอาศัยอยู่ในชุมชนเมือง ซึ่งปัจจุบันจีนมีเมืองขนาด 1 ล้านคนขึ้นไปร้อยกว่าเมือง คนจีนหลักล้านต้องการเฟอร์นิเจอร์ไม้ เพราะทุกปีมีคอนโดมิเนียม ที่อยู่อาศัยผุดขึ้นมากมาย สินค้าสดก็เช่นกัน คนจีนจำนวนมากยังไม่รู้จักผลไม้ไทย แยกไม่ออกว่าทุเรียนกับขนุนต่างกันอย่างไร ไม่รู้จักวิธีกินมังคุด และเงาะ เหล่านี้เป็นภารกิจที่ต้องให้ความรู้ และขยายตลาด ด้านการซื้อสินค้าออนไลน์เองก็เป็นที่นิยมมากโดยเฉพาะชนชั้นกลาง ปัจจุบันยอดขายสินค้าในห้างจีนต่ำลงเพราะผู้บริโภคเดินเข้าไปดูสินค้าแล้วกลับมาสั่งซื้อออนไลน์ด้วยราคาที่ถูกกว่า (window shopping) ตลาดทีวีช่องสินค้าHome Shopping, TV Shopping จึงเป็นอีกหนึ่งกระแสที่น่าจับตามอง
ยิ่งไปกว่านั้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า Baby Boom ยุคใหม่จะเกิดขึ้นในประเทศจีน และจะเป็นการเกิดขึ้นที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก ตลาดทารกไปจนถึงวัยรุ่นจะก่อให้เกิดกำลังซื้อมหาศาล กอปรกับนโยบาย China Dream ที่รัฐบาลจีนตั้งเป้ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของชาวจีนในปี 2020 เพิ่มขึ้นสองเท่าจากปี 2010 จีนจะกลายเป็นประเทศกินดีอยู่ดีระดับต้นๆ ของโลก ผมมองว่านี่คือโอกาสที่ SME ไทยควรบรรจุประเทศจีนไว้ในยุทธศาสตร์ที่สำคัญของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการนำเข้า ส่งออก เพื่อทวีกำลังนำสินค้าต่อยอดขายในตลาดอื่น และศึกษา FTA ของจีนอย่างถ่องแท้”
ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า แม้ตลาดจีนจะใหญ่แต่ก็ไม่หมู โดยเฉพาะเรื่องความไม่โปร่งใสในการทำธุรกิจ ซึ่งนายไพจิตรแนะนำว่าผู้ประกอบการควรเข้าไปขอความร่วมมือจากสำนักงานภาครัฐฯ เพื่อตรวจสอบรายชื่อ และสถานะเบื้องต้นของผู้ประกอบการนั้นๆ ก่อน อย่าค้าขายโดยที่ไม่เคยเจอกัน ซึ่งหากตรวจสอบแล้วยังคงเกิดปัญหาให้มองโอกาสในวิกฤตว่าประสบการณ์จะช่วยคัดเลือกผู้ค้าที่แท้จริงให้ค้าขายกันได้ในระยะยาว