xs
xsm
sm
md
lg

ส่อง e-tail แดนมังกร อนาคตค้าปลีกไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คอลัมน์บัวหลวง Money Tips
โดย กร ดุรงคเวโรจน์
บลจ.บัวหลวง

ประเทศไทยในปัจจุบันมีอัตราการเข้าถึงของบรอดแบนด์ (อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง) เพียง 6.59% ของประชากร และ 22.36% ของครัวเรือน ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และประเทศหลักในยุโรปที่มีการเข้าถึงได้ 70-80% ส่วนประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย และเวียดนามเข้าถึงได้ 40% กับ 25% ตามลำดับ

แต่หลังจากที่รัฐบาลประกาศผลักดันโครงการ Smart Thailand โดยเฉพาะโครงการ ‘บรอดแบนด์แห่งชาติ’ ซึ่งส่งเสริมการขยายโครงสร้างพื้นฐานของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไปทั่วประเทศไทย ประชาชนก็จะสามารถเข้าถึงโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ครอบคลุมทั่วถึงเท่าเทียมกันในอัตราไม่ต่ำกว่า 80% ของประชากรในปี พ.ศ.2558 และไม่ต่ำกว่า 95% ภายในปี 2563

หากว่านโยบายประสบความสำเร็จแม้เพียงครึ่งหนึ่งของเป้าหมายที่วางแผนไว้ เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ซึ่งจะเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจในประเทศกับความเป็นอยู่ของผู้คนไม่น้อย ซึ่งนอกจากการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชนแล้ว การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยอินเทอร์เน็ตก็จะเป็นสิ่งที่จะค่อยๆ เข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจกับสังคมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

มาทำความเข้าใจกับคำว่า e-tail กันก่อนครับ

e-tail ย่อมาจากคำว่า Retail e-commerce หรือธุรกรรมค้าขายผ่านอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคโดยตรง จำกันง่ายๆ ก็ได้ว่า e-tail คือการค้าปลีกออนไลน์นั่นเอง ซึ่งผู้ขายอาจเป็นบริษัทหรือรายย่อยก็ได้

ตลาดค้าขายออนไลน์ไม่ใช่ของแปลกใหม่ มูลค่าตลาด e-commerce ในปัจจุบันของประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา ประเทศหลักๆ ในยุโรป เกาหลี ญี่ปุ่น และอินเดีย มีสัดส่วนตั้งแต่ 5-7.5% ของ GDP ส่วนในประเทศอังกฤษนั้นมีสัดส่วนถึง 13.5% จนได้ชื่อว่าเป็น Internet Economy เลยทีเดียว

ในฐานะผู้ลงทุนที่แสวงหากิจการที่จะให้ผลตอบแทนดีๆ ในอนาคตมาลงทุน เราสามารถใช้จีนเป็นต้นแบบในการคาดการณ์ตลาด e-tail ในอนาคต และใช้เป็นต้นแบบเพื่อวิเคราะห์คาดการณ์ผลกระทบของ e-tail ต่อเศรษฐกิจกับสังคมไทยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากจีนและไทยมีคุณสมบัติหลายอย่างคล้ายๆ กัน เช่น อินเทอร์เน็ตยังเข้าถึงประชากรน้อย ความเจริญกระจุกตัวอยู่เฉพาะในเมืองใหญ่ๆ และการขนส่งในประเทศยังคงล้าหลัง เป็นต้น

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการเติบโตของตลาด e-tail มีรากฐานสำคัญที่สุดอยู่ที่การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของประชากรในประเทศนั้นๆ ซึ่งไม่นับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยอุปกรณ์พกพา เนื่องจากยอดการซื้อขายยังเป็นสัดส่วนที่น้อยอยู่

ตลาดค้าขายออนไลน์อีกประเทศหนึ่งที่หลายคนคงคาดไม่ถึงคือประเทศจีน

ในปี 2554 มูลค่าตลาด e-tail ของจีนได้แซงหน้าญี่ปุ่น อังกฤษ และเยอรมนี ไปเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาไปเรียบร้อย ด้วยยอดขายรวม 1.2 แสนล้านดอลลาร์ มากกว่ามูลค่าตลาดค้าปลีกค้าส่งของไทยในปัจจุบันรวมกันที่มีขนาดประมาณ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปีเสียอีก และในปี 2555 ที่ผ่านมานี้ตลาด e-tail ของจีนได้ขยายตัวเพิ่มจากปีก่อนหน้าถึง 60% ด้วยมูลค่ายอดขายจำนวนมหาศาลกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์

จากบทวิเคราะห์เรื่อง China’s e-tail revolution: Online shopping as a catalyst for growth นั้น Mckinsey คาดการณ์ว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของชนชั้นกลางในจีนจะทำให้ยอดขายตลาด e-tail ในจีนขยายตัวไปแตะระดับ 4.2-6.5 แสนล้านเหรียญต่อปีภายในปี 2563 เลยทีเดียว

จีนเป็นประเทศที่มีประชากรออนไลน์มากที่สุดในโลก เพราะในปี 2555 มียอดลงทะเบียนผู้ใช้บรอดแบนด์ถึงกว่า 160 ล้านคน มากกว่าสหรัฐฯ เกือบเท่าตัว และที่น่าสนใจคือการเติบโตของ e-tail มีบทบาทในระบบเศรษฐกิจและสังคมจีนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันมียอดขายออนไลน์คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 6% ของยอดค้าปลีกโดยรวมในจีน ซึ่งมากกว่าสหรัฐอเมริกาที่เป็น 5% อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศจีนจะมียอดผู้ใช้บรอดแบนด์จำนวนมาก แต่เมื่อนำไปเทียบเป็นสัดส่วนต่อจำนวนประชากรจีนทั้งประเทศก็พบว่าการเข้าถึงบรอดแบนด์ของประชากรในจีนยังต่ำกว่า 10% คือยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น

หากอินเทอร์เน็ตขยายครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้นเท่าไร ประชาชนก็จะมีโอกาสได้เข้าถึงและมีโอกาสเลือกสินค้าและบริการได้หลากหลายขึ้นเท่านั้น ซึ่งพัฒนาการนี้จะเป็นตัวแปรที่สำคัญในการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

ในประเทศจีนนั้น e-tail ก่อให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการใช้จ่ายปกติ โดยเห็นผลในเมืองชนบทมากกว่าในเมืองหลักเสียอีก เนื่องจากอินเทอร์เน็ตทำให้ชาวบ้านจำนวนมากในเมืองที่ห่างไกลความเจริญสามารถเข้าถึงและสั่งซื้อสินค้าหลายๆ อย่างได้เป็นครั้งแรกนั่นเอง

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ในช่วงการเติบโตของเศรษฐกิจออนไลน์ ตลาด e-tail ที่ขยายตัวนั้นไม่ได้ทดแทนช่องทางการจำหน่ายของตลาดค้าปลีกแบบดั้งเดิม แต่การชอปปิ้งออนไลน์เป็นการบริโภคที่เพิ่มขึ้นจากการชอปปิ้งแบบออฟไลน์

อีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือ รูปแบบของการขายสินค้า

ธุรกิจ e-tail ของจีนกว่า 90% มาจากตลาดนัดออนไลน์ (Online Marketplace) เช่น Taobao, Tmall หรือ Paipai ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เปิดให้ผู้ขายทั้งรายย่อย SME และแบรนด์ต่างๆ มาลงขายสินค้า แตกต่างจากประเทศตะวันตกซึ่งยอดขายส่วนมากมาจากเว็บไซต์ของธุรกิจหรือแบรนด์โดยตรง ซึ่งแสดงว่าธุรกิจ SME มีบทบาทสูงมากในการขยายตัวของเศรษฐกิจออนไลน์จีน โดย 70% ของตลาด e-tail ในจีนเป็นการขายจากรายย่อยซึ่งแตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้วที่ยอดขายส่วนใหญ่มาจากบริษัทใหญ่

e-tail ในจีนได้เริ่มส่งผลกระทบเป็นระลอกคลื่นด้วยการเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจในประเทศ เริ่มจากการที่ e-tail เป็นแพลตฟอร์มในการเริ่มต้นธุรกิจหรือการขยายกิจการของบรรดาเจ้าของกิจการขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่สะดวกรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจ SME เหล่านี้ได้ประโยชน์มากเนื่องจากสามารถสร้างสรรค์สินค้าและปล่อยออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง โดยไม่ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดของร้านค้าแบบดั้งเดิม เช่น เรื่องค่าเช่าพื้นที่หน้าร้าน ทำเลที่ตั้ง และการสต๊อกสินค้า เป็นต้น กระตุ้นให้เกิดธุรกิจ SME ที่มีคุณภาพจำนวนมาก

สรุป


แม้ e-tail จะเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในเศรษฐกิจยุคอินเทอร์เน็ต แต่ก็เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ และเศรษฐกิจอินเทอร์เน็ตกำลังเดินทางมาถึงยุคที่กำลังจะเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในประเทศตลาดเกิดใหม่หลายๆ แห่ง และจะกลายเป็นส่วนสำคัญของ GDP ของประเทศในอนาคตอันใกล้

ในประเทศไทย เราได้เห็นหลายองค์กรและธุรกิจได้เปิดช่องทางการขายออนไลน์กันมาแล้ว เช่น CPALL มีเวบ 7-Catalog Online ซึ่งจัดสินค้าต่างๆ ในเครือ 7-11 จัดส่งฟรีทั่วประเทศ ออฟฟิศเมทก็เปิดเว็บไซต์ TrendyDay.com เพื่อขายสินค้าหลากหลายประเภท ส่วนเซ็นทรัลก็เปิดเว็บ Central.co.th ให้เป็นออนไลน์ชอปปิ้งมอลล์ ในขณะที่ BJC ก็มีเว็บ The Prestige Online Plaza ไว้ขายอุปกรณ์ไอทีและของจิปาถะ เป็นต้น

ธุรกิจออนไลน์ในไทยเหล่านี้แม้จะสร้างยอดขายให้บริษัทแม่ได้น้อยนิดในปัจจุบันจนเรายังไม่เห็นการลงทุนพัฒนาช่องทางนี้อย่างจริงจังจากผู้ประกอบการ แต่นโยบายการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของรัฐบาลจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมธุรกิจออนไลน์ เนื่องจากจะเพิ่มจำนวนผู้บริโภคออนไลน์ในประเทศไทยขึ้นอีกหลายเท่าตัวในไม่กี่ปีข้างหน้านี้ จึงเป็นโอกาสทองสำหรับทุกธุรกิจ

ดังนั้น บริษัทที่สามารถปักฐานจับจองพื้นที่ในตลาด e-tail ได้เร็ว สามารถคาดการณ์พฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในไทยได้ถูกต้อง และปรับตัวให้เอื้ออำนวยต่อเศรษฐกิจออนไลน์ไทยในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมจะได้เปรียบบริษัทคู่แข่งอื่นๆ ในตลาดได้อย่างมากและแน่นอน


กำลังโหลดความคิดเห็น