นายกฯ ปูขึ้นเวทีเปิดเวิร์กชอปดัน SMEs-OTOP ไทยก้าวไกลสู่ AEC ระบุสานต่อการสนับสนุนในระยะที่ 2 มุ่งผลักดันกลางน้ำพา ผปก.พบแหล่งเงินทุนในรูปแบบ Clinic การเงิน ตั้งเป้าช่วยสร้างรายได้ให้ SMEs-OTOP ไทยถึง 1 แสนล้าน
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในการเป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “OTOP ไทย ก้าวไกลสู่ AEC” ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 6 แห่ง ว่า ต้องการให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยทำงานอย่างเข้มแข็งและยืนได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญผลักดันให้เดินอยู่ในระบบเศรษฐกิจไทยอย่างเข้มแข็ง
สำหรับงานสัมมนาครั้งนี้นับเป็นการดำเนินตามโครงการ SMEs และ OTOP สู่เวทีโลกในระยะที่ 2 โดยสานต่อความสำเร็จจากโครงการระยะที่ 1 โดยระยะที่ 2 เน้นสนับสนุนเงินกู้ในรูปแบบของ Clinic ทางการเงิน ซึ่งสถาบันการเงินของภาครัฐจะให้คำปรึกษาทางการเงิน รวมถึงการให้ความรู้การสร้างโอกาสทางธุรกิจเพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายความสำเร็จของโครงการ
ทั้งนี้ ตั้งเป้าจะเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและโอทอปประมาณ 100,000 ล้านบาท ดังนั้น การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีและโอทอปของไทยมีความแข็งแกร่งและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งทำให้ภาคธุรกิจเกิดการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า การจัดสัมมนาในครั้งนี้จะทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและโอทอปมีความเข้าใจ และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น แต่ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ที่จะหาลูกค้าใหม่ แต่เป็นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเงินให้แก่ผู้ประกอบการ
สำหรับโครงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและโอทอปสู่เวทีโลก ในครั้งนี้ เป็นโครงการต่อเนื่องระยะที่ 2 ที่จะเน้นให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทำงานเชื่อมโยง เสริมสร้างความรู้ สร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เข้าถึงแหล่งเงินลงทุนมากขึ้น โดยโครงการนี้จะมีสินเชื่อสนับสนุนเอสเอ็มอีระยะเวลา 3 ปี คือตั้งแต่ปี 2556-2558 ในวงเงิน 160,000 ล้านบาท
ด้านนายโอฬาร ไชยประวัติ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อเข้าสู่เออีซีตลาดจะขยายตัวสูงหลายเท่า จากเดิมขายในประเทศมีประชากร 60 ล้านบาท แต่ในอนาคตจะเพิ่มเป็นกว่า 600 ล้านคน และหากนับรวมตลาดจีนและอินเดียด้วยจะเพิ่มถึง 1,200 ล้านคน ฉะนั้น ถือเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการ SMEs-OTOP ของไทย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญผู้ประกอบการไทยต้องให้ความสำคัญในด้านการทำสินค้าหรือบริการที่มีเอกลักษณ์และเป็นสินค้าคุณภาพควบคู่กับทำตลาดทั้งในท้องถิ่น และผ่านช่องทางใหม่ๆ เช่น ออนไลน์ ซึ่งทายาทธุรกิจหรือลูกหลานจะมีส่วนอย่างยิ่งในการเข้ามาช่วยต่อยอดธุรกิจดั้งเดิมของครอบครัวหรือท้องถิ่น
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SME ผู้จัดการออนไลน์” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *
