กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดตัวความสำเร็จโครงการห่วงโซ่สีเขียวอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป (Green Agro Processing Industry Project : GAPI) การจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเพื่อก่อให้เกิดกำไรช่วยผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 พร้อมโชว์ผลงานโครงการฯ ที่สามารถลดต้นทุนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการในปี 2555 กว่า 20 ล้านบาท
โดยใช้กลยุทธ์การจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเพื่อก่อให้เกิดกำไร (Profitability Resource and Environment Management - PREMA) ซึ่งเป็นการจัดการทั้งกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ให้สอดคล้องและส่งต่อกันเป็นห่วงโซ่อุปทานสีเขียว (Green Supply Chain Management : GSCM) ที่ให้ภาคอุตสาหกรรมหันมาใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนการนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งจะเน้นให้เกิดประสิทธิผล และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนของกระบวนการ
โดยปีนี้ตั้งเป้าผู้ประการเข้าร่วมโครงการกว่า 20 ราย และสามารถลดต้นทุนรวมกว่า 20 ล้านบาท อีกทั้ง กสอ.ตั้งเป้าดันให้อุตสาหกรรมไทยภายในประเทศเป็นอุตสาหกรรมห่วงโซ่สีเขียวเพื่อนำไปสู่การเป็นผู้นำการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวของอาเซียนได้ภายใน 5 ปี สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการห่วงโซ่สีเขียวอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป (GAPI) สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หมายเลขโทรศัพท์ 0-2202-4537 หรือเข้าไปที่ www.dip.go.th
นางศิริรัตน์ จิตต์เสรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สินค้าและบริการที่มีกระบวนการผลิตบนแนวคิดที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและสังคมกำลังอยู่ในกระแสของตลาดโลก ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองต่อภาคอุตสาหกรรมที่มีกระบวนการผลิตบนพื้นฐานของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก ทำให้ภาคการผลิตของหลายอุตสาหกรรมต้องมีการตื่นตัว และปรับเปลี่ยนกลไกการผลิตให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทางกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) จึงมีนโยบายผลักดันให้อุตสาหกรรมภายในประเทศเป็นอุตสาหกรรมห่วงโซ่สีเขียวเพื่อนำไปสู่การเป็นผู้นำการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวของอาเซียนได้ภายใน 5 ปี โดยได้มอบหมายให้กรมส่งสริมอุตสาหกรรรม (กสอ.) ดำเนินโครงการตามนโยบายดังกล่าว ทาง กสอ.จึงได้ริเริ่มโครงการห่วงโซ่สีเขียวอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป (Green Agro Processing Industry Project : GAPI) ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยใช้แนวคิดการจัดการห่วงโซ่อุปทานสีเขียว (Green Supply Chain Management : GSCM)
นางศิริรัตน์กล่าวต่อว่า โครงการห่วงโซ่สีเขียวอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป (GAPI) เป็นโครงการที่จะช่วยผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปประหยัดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ลดของเสีย รวมถึงช่วยยกระดับการค้าเป็นธุรกิจให้เข้าสู่มาตรฐานสากล สามารถเชื่อมโยงการยกระดับนี้กับธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องในอุตสาหกรรมได้ พร้อมกันนี้ก็จะเกิดความเข้าใจในเรื่องของการร่วมกันค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดต้นทุนการจัดการสิ่งที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ หรือ Non Product Output-NPO ซึ่งถือเป็นต้นทุนที่แฝงอยู่ในทุกๆ ขั้นตอนการผลิตและมักจะถูกส่งต่อๆ กันไปตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ นอกจากนี้ยังเป็นต้นทุนในส่วนของการทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วย หากไม่ได้รับการจัดการที่เหมาะสม โดยแนวคิดนี้จะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับคู่ค้ามากมายในวงจรโซ่ธุรกิจ เช่น ผู้ขายวัตถุดิบ ผู้ผลิต ผู้จำกัดเศษเหลือใช้ เป็นต้น
โดยส่วนส่งเสริมและพัฒนาการจัดการเกษตรแปรรูป สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปใช้ดำเนินการมากกว่า 1 ปีในการผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมหันมาใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และส่งไปยังผู้บริโภค ตลอดจนการนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งจะเน้นให้เกิดประสิทธิผลและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการ สำหรับโครงการห่วงโซ่สีเขียวอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป (GAPI) นี้ ในปีที่ผ่านมาทาง กสอ.ได้มีการส่งเสริมและสนับสนุนผู้เข้าร่วมโครงการให้เป็นสถานประกอบการสีเขียวเพื่อสร้างสังคมสีเขียว โดยได้นำร่องพัฒนาห่วงโซ่ธุรกิจต้นแบบ เช่น มันสำปะหลัง ผัก-ผลไม้บรรจุกระป๋อง การแปรรูปเนื้อสุกร จำนวนกว่า 15 ราย ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการพัฒนาไปในทิศทางสีเขียว ส่งผลให้ผลผลิตมีคุณภาพสูงและปลอดภัยต่อผู้บริโภค อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
นางวันเพ็ญ รัตนกังวาล ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป กล่าวถึงรายละเอียดการนำร่องพัฒนาห่วงโซ่ธุรกิจต้นแบบว่า กสอ.ได้เห็นถึงปัญหาต่างๆ ของภาคการผลิตในทุกอุตสาหกรรม จึงได้เริ่มทำการศึกษาตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งการนำโครงการห่วงโซ่สีเขียวอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป (GAPI) มาใช้ในการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมจะสามารถสร้างประโยชน์ในระยะยาวให้แก่ทุกฝ่าย เริ่มตั้งแต่ผู้ผลิตเองไปจนถึงผู้บริโภค ทำให้ผู้ประกอบการเรียนรู้การใช้เครื่องมือการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อก่อให้เกิดกำไร (Profitable Resource and Environment Management : PREMA) เพื่อประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรที่ดีขึ้น สามารถวัดผลได้ไม่น้อยกว่า 4% ผู้ประกอบการเกิดประสิทธิภาพทางการเงิน สามารถจัดการองค์กรตนเองได้ และมีการดำเนินอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การที่อุตสาหกรรมปรับตัวเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวจะได้ประโยชน์ตั้งแต่เริ่มทำ คือ การประหยัดต้นทุน และเพิ่มผลผลิต ลดปริมาณของเสีย มลพิษทางน้ำ อากาศ และสามารถปรับปรุงความสามารถในการทำงานได้
โดยเครื่องมือ PREMA นี้เป็นองค์ความรู้ที่องค์การความร่วมมือไทย-เยอรมัน หรือ GIZ ได้มาถ่ายทอดให้แก่บุคลากรของ กสอ. รวมทั้งสร้างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญไทย เรียกว่า Thai PREMA Net ที่มีทักษะและความสามารถใช้เครื่องมือการจัดการนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งในปัจจุบัน Thai PREMA Net ได้มีการแลกเปลี่ยนทักษะและประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญในอีกหลายประเทศอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจัดได้ว่า PREMA เป็นเครื่องมือการจัดการที่มีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
เครื่องมือหนึ่งนอกจากการใช้เครื่องมือการจัดการ PREMA กับการเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจอุตสาหกรรมแล้ว เรายังสามารถใช้ PREMA ในเชิงการรักษาสิ่งแวดล้อมและการจัดการทรัพยากรหรือวัตถุดิบภาคการเกษตร รวมทั้งการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อการอยู่ร่วมกันระหว่างอุตสาหกรรมกับชุมชนได้อีกด้วย
สำหรับในปี 2555 ที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมโครงการ GAPI เป็นจำนวน 15 กิจการ ซึ่งธุรกิจต้นแบบอย่างการแปรรูปเนื้อสุกร เป็นกรณีตัวอย่างที่แสดงผลของการใช้เครื่องมือการจัดการ PREMA ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นตัวอย่างของการเพิ่มประสิทธิภาพร่วมกันในสายโซ่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกันระหว่าง ฟาร์มเลี้ยงสุกร กับโรงงานแปรรูปเนื้อสุกร ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาวต่ออุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมได้ นางวันเพ็ญ กล่าวเสริม
ด้าน นายวรพจน์ สัจจาวัฒนา เจ้าของฟาร์มสุกรบัวขาว จังหวัดนครราชสีมา หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการห่วงโซ่สีเขียวอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป (GAPI) กล่าวว่า ตนได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว เนื่องจากเล็งเห็นว่าโครงการที่ กสอ.ได้จัดทำขึ้นนั้นสามารถสร้างประโยชน์อย่างแท้จริงให้แก่อุตสาหกรรมของตนได้ ซึ่งที่ผ่านมาต้นทุนในการดำเนินการเลี้ยงสุกรก่อนนำออกสู่ตลาดหรือถึงมือพ่อค้าคนกลางนั้นค่อนข้างสูง แต่หลังจากที่ได้เข้าร่วมโครงการฯ ได้เกิดการเรียนรู้ในการบริหารจัดการต้นทุนได้มากขึ้น อย่างน้ำเสียที่เคยสูญเปล่า ปัจจุบันได้มีการผ่านกระบวนการบำบัด และนำน้ำที่ผ่านการบำบัดนั้นไปรดต้นไม้ ทำความสะอาดโรงเรือนสุกรบางส่วน ส่งผลให้ค่าน้ำลดลงกว่า 40%
นอกจากนี้ ของเสียจากสุกรได้ถูกผันแปรไปทำบ่อก๊าซเพื่อนำก๊าซมาผลิตเป็นไฟฟ้าทดแทนและใช้ในฟาร์มสุกร 100% ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าลดลงเกือบ 50% ส่วนของเศษอาหารที่เหลือจากการเลี้ยงสุกรก็นำไปเลี้ยงเป็ดและไก่ได้อีกต่อหนึ่ง พร้อมกันนี้ยังได้ปรับปรุงกระบวนการใหม่เกือบทั้งหมดที่ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นายชูชาติ เหลืองจารุ เจ้าของโรงงานกุนเชียงเจ๊แหม่ม จังหวัดนครราชสีมา ผู้เข้าร่วมโครงการห่วงโซ่สีเขียวอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป (GAPI) กล่าวว่า อุตสาหกรรมการแปรรูปเนื้อสุกรให้เป็นผลิตภัณฑ์กุนเชียงและหมูยอของตนเองนั้นได้เข้าร่วมโครงการฯ ในการเรียนรู้กลไกการบริหารจัดการอุตสาหกรรมได้ ซึ่งในกระบวนการผลิตหมูยอนั้นจะมีน้ำร้อนที่เหลือจากการต้มเป็นจำนวนมาก โดยปกติจะเททิ้งและเสียน้ำเหล่านั้นไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งหลังจากที่ได้เข้าร่วมโครงการฯ ตนได้เรียนรู้วิธีการจัดการใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิตได้มากขึ้น จึงนำน้ำร้อนเหล่านั้นมาใส่หม้อเพื่อนำไปต้มหมูยออีกชุดหนึ่ง ทำให้น้ำร้อนเร็วขึ้น สามารถประหยัดเวลาไปได้กว่า 20-30 นาทีต่อการต้มน้ำครั้งหนึ่ง อีกทั้งค่าก๊าซก็ลดลงปีละกว่า 20,000 บาท โดยโครงการนี้ถือเป็นโครงการที่สามารถสร้างประโยชน์ในระยะยาวให้แก่อุตสาหกรรมได้ ส่งผลให้เกิดการประหยัดต้นทุน เวลา และเพิ่มผลผลิตมากขึ้น หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งคือ ต้นทุนที่ลดลงได้นั้นเป็นต้นทุนที่แอบแฝง
โดยในปี 2556 กสอ. มีเป้าหมายสร้างความต่อเนื่องและขยายบริการโครงการห่วงโซ่สีเขียวอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป (Green Agro Processing Industry Project - GAPI) ดังกล่าว เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทั้งหลายเห็นถึงประโยชน์ของการนำเครื่องมือการจัดการทรัพยากรเพื่อก่อให้เกิดกำไร หรือ Profitable Resource and Environment Management - PREMA มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่ธุรกิจอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น โดย กสอ.ตั้งเป้า 20 กิจการของผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งเกษตรกรผู้ผลิตวัตถุดิบในสายโซ่อุปทานที่มีผู้บริโภคสินค้าอย่างต่อเนื่องกันและมีความเกี่ยวพันกับการจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์ข้าวออร์แกนิก ผลิตภัณฑ์จากนมวัว ฯลฯ ให้เข้ารับการอบรมในเชิงปฏิบัติการและเรียนรู้กระบวนการผลิตและพัฒนาแบบพลวัต คือพัฒนาด้วยความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อนำธุรกิจอุตสาหกรรมของตนเองไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนในอนาคต นางศิริรัตน์กล่าวสรุป
สำหรับผู้ประกอบการ เกษตรกร หรือประชาชนทั่วไปที่สนใจเข้าร่วมโครงการห่วงโซ่สีเขียวอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป (GAPI) สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หมายเลขโทรศัพท์ 0-2202-4537 หรือเข้าไปที่ www.dip.go.th