ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้การเลือกตั้งสหรัฐฯ ไม่กระทบเศรษฐกิจไทย ชี้ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีก็ต้องรับมือกับโจทย์รักษาเสถียรภาพการคลังในระยะยาวของสหรัฐฯ ไม่แตกต่างกัน รวมถึงแก้วิกฤตหนี้สหรัฐฯ และความท้าทายการเติบโตทางเศรษฐกิจจีน
สืบจากผลต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก ภายใต้ช่วงเวลาการเข้าบริหารประเทศของผู้นำสหรัฐฯ ที่มาจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการออกแบบนโยบายเศรษฐกิจสำหรับสหรัฐฯ เพียงปัจจัยเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและนโยบายทางเศรษฐกิจ การเงิน การคลังของภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงความเสี่ยงจากปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ (Geopolitical Risks) ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ที่จะเข้าสาบานตนวันที่ 20 มกราคม 2556 คงจะเป็นตัวแปรหนึ่งที่มีผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงเงื่อนไขอื่นๆ โดยเฉพาะสถานการณ์วิกฤตหนี้ของยุโรป ความสามารถในการประคองโมเมนตัมของเศรษฐกิจจีน และเสถียรภาพในตะวันออกกลางที่มีความสำคัญไม่น้อย ประกอบภาพเข้ามาด้วย
ผลกระทบในระยะสั้นต่อเศรษฐกิจไทยจะเชื่อมโยงเข้ากับความสำเร็จในการแก้ไขปัญหา Fiscal Cliff ของสหรัฐฯ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า สหรัฐฯ ไม่น่าจะเผชิญกับภาวะ Fiscal Cliff เต็มรูปแบบในปี 2556 ไม่ว่าชัยชนะจากศึกเลือกตั้งจะเป็นของโอบามา หรือรอมนีย์ก็ตาม
อย่างไรก็ดี กระบวนการ ขั้นตอน ความยากง่ายในการต่อรองระหว่างสภาคองเกรส-ทำเนียบขาว ที่ในอีกด้านหนึ่งจะสะท้อนผลของการคานอำนาจทางการเมืองของพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน อาจทำให้โอกาสของการเกิดภาวะ Mini Fiscal Cliff อยู่ในระดับที่แตกต่างกัน แต่โดยสุทธิแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีข้างหน้าน่าที่จะข้ามพ้น “บททดสอบเฉพาะหน้า” จากภาวะหน้าผาทางการคลังไปได้ ซึ่งไม่น่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยมากนัก
อย่างไรก็ดี องค์ประกอบของมาตรการทางภาษีของนายรอมนีย์ที่ค่อนข้างผ่อนปรนและเอื้อต่อภาคธุรกิจมากกว่านายโอบามา ทำให้มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวสูงกว่ากรณีพื้นฐานที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2.1 ซึ่งย่อมจะทำให้ผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านผู้นำของสหรัฐฯ อยู่ในกรอบที่ค่อนข้างจำกัดต่อเศรษฐกิจไทย ดังนั้น ตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2556 ของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่ร้อยละ 4.5-5.5 น่าจะยังเหมาะสมและสามารถรองรับสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นได้
ส่วนผลกระทบในระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า หากมองภาพที่ไกลขึ้นหลังปี 2556 ไม่ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะเป็นสมัยที่ 2 ของนายโอบามา หรือสมัยแรกของนายรอมนีย์ ประธานาธิบดีที่คนที่ 45 ของสหรัฐฯ ก็น่าจะต้องรับมือกับ “โจทย์รักษาเสถียรภาพการคลังในระยะยาวของสหรัฐฯ” ที่ไม่แตกต่างกัน โดยการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในคนละรายการ (นายโอบามาเพิ่มในส่วนสวัสดิการ/ระบบประกันสุขภาพ ขณะที่นายรอมนีย์เพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหม)
ขณะที่รายได้ของภาครัฐยังขึ้นอยู่กับผลสุทธิจากมาตรการภาษี (ซึ่งนายโอบามาเน้นอัตราก้าวหน้า แต่นายรอมนีย์ผ่อนปรนต่อภาคธุรกิจมากกว่า) ต่อการประคองทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการแก้ปัญหาการว่างงาน ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ ยังคงต้องแบกหนี้สาธารณะที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งอาจมีผลต่อเนื่องให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพในช่วงหลายปีข้างหน้า ดังนั้น สำหรับไทยแล้ว โจทย์ในระยะยาวที่ทางการและภาคธุรกิจไทยจะต้องคำนึงถึงและผลักดันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ก็คือการมุ่งสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่น่าจะเสริมสร้างอานิสงส์ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยได้อย่างมั่นคงในระยะยาว