“โสฬส” ยกธงขาวยื่นใบลาออกสละเก้าอี้หัวเรือเอสเอ็มอีแบงก์ ด้าน “วิรุฬ” อ้างยังไม่รู้เรื่อง เชื่อไม่กระทบการปล่อยสินเชื่อแก่ ผปก. ยืนยันไม่เกี่ยวการเมืองบีบ
คณะกรรมการธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เปิดเผยว่า นายโสฬส สาครวิศว กรรมการผู้จัดการเอสเอ็มอีแบงก์ ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารแล้ว หลังจากถูกตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงข้อกล่าวหากรณีการปล่อยกู้เอื้อประโยชน์แก่บุคคลที่คุ้นเคย ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อธนาคาร หลังตรวจสอบการปล่อยสินเชื่อพบว่าได้มีการเลือกลูกค้าโครงการขนาดใหญ่มาปล่อยสินเชื่อด้วยการคิดดอกเบี้ยต่ำมากกว่าคณะกรรมการอนุมัติไว้ค่อนข้างมาก ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าโครงการดังกล่าวเพื่อรับดอกเบี้ยต่ำจำนวนมาก โดยทำการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อนอกเหนือมติบอร์ด ดอกเบี้ยต่ำคงที่ถึง 5 ปี ส่งผลกระทบต่อรายได้ของรัฐ จึงทำให้มีปัญหาเอ็นพีแอลสูงถึง 18,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 18 ของสินเชื่อคงค้างรวม 100,000 ล้านบาท แม้จะมีการปรับโครงสร้างหนี้ก็ยังมีปัญหากลับมาเป็นเอ็นพีแอลอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท และผลดำเนินงานที่ผ่านมาปี 2552, 2553 มีผลกำไร และปี 2554 มีกำไรสูงขึ้นกรณีพิเศษ 400 ล้านบาท จากผลอัตราแลกเปลี่ยน แต่ผลดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกปี 2555 ขาดทุน 1,200 ล้านบาท จึงส่งผลกระทบต่อฐานะธนาคาร
สำหรับหนังสือลาออกที่นายโสฬสได้ยื่นไปแล้วโดยขอให้มีผลวันที่ 4 ตุลาคม 2555 นั้นเพื่อเป็นไปตามข้อกำหนดตามสัญญาจ้าง โดยอ้างปัญหาสุขภาพ แต่ที่ประชุมเห็นว่ายังไม่มีใบรับรองแพทย์ จึงให้นายโสฬสส่งใบรับรองแพทย์เพิ่ม ฉะนั้นการลาออกจึงยังไม่มีผลในวันที่ 4 ตุลาคม 2555 เนื่องจากเอกสารยังไม่ครบ ควรจะเป็นวันที่ 24 ตุลาคม จึงเห็นว่าใบลาออกไม่ชัดเจนทำให้ไม่สามารถแต่งตั้งผู้ที่ทำหน้าที่รักษาการแทนได้ นอกจากนี้ คณะกรรมการยังแต่งตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูกิจการเพื่อทำหน้าที่ฟื้นฟูเอสเอ็มอีแบงก์จากผลขาดทุน โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร เป็นประธาน
ด้านนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวหลังการเป็นประธานเปิดงานโครงการของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมว่า ขณะนี้ยังไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับการลาออกของนายโสฬส และเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของเอสเอ็มอีแบงก์จะไม่กระทบต่อการให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งขณะนี้จะพยายามให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานบริการประชาชน
ทั้งนี้ ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และโดยส่วนตัวแล้วให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพคนมากที่สุด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารองค์กรถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้
คณะกรรมการธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เปิดเผยว่า นายโสฬส สาครวิศว กรรมการผู้จัดการเอสเอ็มอีแบงก์ ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารแล้ว หลังจากถูกตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงข้อกล่าวหากรณีการปล่อยกู้เอื้อประโยชน์แก่บุคคลที่คุ้นเคย ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อธนาคาร หลังตรวจสอบการปล่อยสินเชื่อพบว่าได้มีการเลือกลูกค้าโครงการขนาดใหญ่มาปล่อยสินเชื่อด้วยการคิดดอกเบี้ยต่ำมากกว่าคณะกรรมการอนุมัติไว้ค่อนข้างมาก ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าโครงการดังกล่าวเพื่อรับดอกเบี้ยต่ำจำนวนมาก โดยทำการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อนอกเหนือมติบอร์ด ดอกเบี้ยต่ำคงที่ถึง 5 ปี ส่งผลกระทบต่อรายได้ของรัฐ จึงทำให้มีปัญหาเอ็นพีแอลสูงถึง 18,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 18 ของสินเชื่อคงค้างรวม 100,000 ล้านบาท แม้จะมีการปรับโครงสร้างหนี้ก็ยังมีปัญหากลับมาเป็นเอ็นพีแอลอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท และผลดำเนินงานที่ผ่านมาปี 2552, 2553 มีผลกำไร และปี 2554 มีกำไรสูงขึ้นกรณีพิเศษ 400 ล้านบาท จากผลอัตราแลกเปลี่ยน แต่ผลดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกปี 2555 ขาดทุน 1,200 ล้านบาท จึงส่งผลกระทบต่อฐานะธนาคาร
สำหรับหนังสือลาออกที่นายโสฬสได้ยื่นไปแล้วโดยขอให้มีผลวันที่ 4 ตุลาคม 2555 นั้นเพื่อเป็นไปตามข้อกำหนดตามสัญญาจ้าง โดยอ้างปัญหาสุขภาพ แต่ที่ประชุมเห็นว่ายังไม่มีใบรับรองแพทย์ จึงให้นายโสฬสส่งใบรับรองแพทย์เพิ่ม ฉะนั้นการลาออกจึงยังไม่มีผลในวันที่ 4 ตุลาคม 2555 เนื่องจากเอกสารยังไม่ครบ ควรจะเป็นวันที่ 24 ตุลาคม จึงเห็นว่าใบลาออกไม่ชัดเจนทำให้ไม่สามารถแต่งตั้งผู้ที่ทำหน้าที่รักษาการแทนได้ นอกจากนี้ คณะกรรมการยังแต่งตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูกิจการเพื่อทำหน้าที่ฟื้นฟูเอสเอ็มอีแบงก์จากผลขาดทุน โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร เป็นประธาน
ด้านนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวหลังการเป็นประธานเปิดงานโครงการของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมว่า ขณะนี้ยังไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับการลาออกของนายโสฬส และเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของเอสเอ็มอีแบงก์จะไม่กระทบต่อการให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งขณะนี้จะพยายามให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานบริการประชาชน
ทั้งนี้ ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และโดยส่วนตัวแล้วให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพคนมากที่สุด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารองค์กรถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้