ถ้าพูดถึงปลา ทุกคนก็ต้องนึกถึงปลาทู เพราะหากินง่าย ราคาถูก แต่สำหรับเมนูข้าวต้มปลาทู อาจจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตากันนัก เพราะถ้าไม่มืออาชีพการนำปลาทูสดมาทำข้าวต้มโดยไม่เกิดกลิ่นคาวคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่สำหรับข้าวต้มปลาทูสด “ร้านข้าวต้มโอ่ง จิ๊บ & จ๊อย” บนเขาสามมุข ชายทะเลบางแสน จังหวัดชลบุรี สถานที่ท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ สูตรข้าวต้มปลาทูสดของร้านนี้ เป็นที่ยอมรับทั้งคนในพื้นที่ และนักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาสมาเยือนเขาสามมุข แห่งนี้
นางสาวฐาปนี รอดสบาย เจ้าของร้าน เล่าว่า สูตรข้าวต้มปลาทูสดของร้านเรา เป็นสูตรโบราณทำกันมาหลายชั่วอายุคน เพราะด้วยครอบครัวเราเป็นครอบครัวชาวประมง ดังนั้น การทำข้าวต้มปลาจึงเป็นเรื่องปกติ ปลาหลายชนิด ที่เราหาได้ก็สามารถนำมาทำข้าวต้มได้เกือบทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ปลาทู แต่สูตรของทางร้านที่ขายอยู่ในปัจจุบัน เป็นสูตรของคุณแม่ (นางอรัญญา รอดสบาย)ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณยายอีกทอดหนึ่ง
“ทั้งนี้ ปัจจุบันคุณแม่ก็ยังคงแสดงฝีมือการปรุงสูตรข้าวต้มปลาทู เสิร์ฟลูกค้าด้วยตัวเองอยู่ ทุกคนภายในร้านรวมถึงตัวเองและน้องสาว ก็เป็นเพียงผู้ช่วยเท่านั้น แม้ว่าจะใช้ชื่อร้านเป็นชื่อของเราทั้งสองคนก็ตาม เพราะเชื่อว่า ลูกค้าเองก็ยังคงต้องการมากินฝีมือของแม่มากกว่า เราทั้งสองคนอย่างแน่นอน แม้ว่าเราจะได้รับการถ่ายทอดในทุกขั้นตอนการทำมาแล้วจากแม่ก็ตาม”
สำหรับกลุ่มลูกค้า ส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มคนในพื้นที่ คนทำงาน นักเรียน นักศึกษา หลังจากเลิกงาน เลิกเรียนแล้วก็จะนัดเจอกัน และมากินข้าวต้มปลาก่อนกลับบ้าน นอกจากเมนูเด่นข้าวต้มปลาทู ทางร้านก็ยังมีเมนูอื่นๆ อีก ได้แก่ ข้าวต้มปลาโชกุน,ข้าวต้มหัวปลา,ข้าวต้มหมึก,ปลาทูย่าง,หมึกย่าง, กุ้งย่าง,แหนมปลากราย,ก๋วยจับทะเล ฯลฯ ราคาข้าวต้มเริ่มที่ชามละ 20 บาท แต่สำหรับข้าวต้มปลาทู ชามละ 30 บาท พิเศษ 40 บาท ส่วนของย่างจานละ 50 บาท
โดยในส่วนของข้าวต้มปลาทูจะใช้ปลาทูเป็นตัวไม่มีการหั่น เพราะจะทำให้เนื้อเละ และเหม็นคาวได้ ซึ่งเทคนิคในการทำข้าวต้มปลาทูของร้านข้าวต้มโอ่งแห่งนี้ ที่โดนใจใครหลายคน ก็คงจะอยู่ที่รสชาติ และความสดใหม่ของปลาที่ใช้ เพราะอยู่ใกล้กับแหล่งประมง ทำให้สามารถซื้อปลาที่สดใหม่ได้ทุกวัน การที่ใช้ปลาที่สดจากทะเลช่วยทำให้ข้าวต้มไม่มีกลิ่นคาวปลา
นอกจากนี้ ปลาทูได้นำมาควักเอาไส้ออกก่อน จะนำไปต้ม โดยการเติมน้ำปลาลงไป และต้องใช้ไฟแรงเพื่อไม่ให้ท้องปลาทูแตก เท่านี้ก็จะได้ปลาทูที่ไม่มีกลิ่นคาว พร้อมนำไปทำข้าวต้ม และข้าวต้มปลาของร้านนี้ จะต่างจากร้านอื่นๆ เพราะจะไม่ใช้น้ำซุป แต่จะใช้น้ำต้มข้าว หรือน้ำข้าวแทน ข้าวที่นำมาหุงข้าวต้มจะเลือกใช้ข้าวมะลิ เทคนิคอีกอย่างหนึ่ง คือการสรงข้าวในน้ำข้าว เพื่อล้างเอายางข้าวออก จะได้ข้าวต้มปลาที่น้ำใสทุกชาม ซึ่งป้าอรัญญา ผู้เป็นแม่จะปรุงทุกชามด้วยตัวเอง และที่สำคัญคือต้องปรุงทีละชาม ดังนั้น ลูกค้าก็อาจจะต้องรอนานสักหน่อย แต่ส่วนใหญ่ลูกค้าก็เข้าใจและยินดีที่จะรอ เพราะสิ่งที่เขาได้กินมันอร่อยคุ้มค่ากับการรอคอย
สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าจะต้องรอ นอกจากการปรุงทีละชาม และความพิถีพิถันในการทำของป้าอรัญญาแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากลูกค้าจะมาพร้อมๆ กัน เพราะร้านนี้ จะเปิดขายเพียงแค่ 3 ถึง 4 ชั่วโมงเท่านั้น โดยเปิดร้านประมาณ 5 โมงเย็น และปิดร้าน 2 ทุ่มครึ่ง ลูกค้าก็เลยจะมาพร้อมๆ กันเยอะในช่วงประมาณ 6 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม
ส่วนยอดขายต่อวัน ทางร้านไม่ได้บอกว่าขายได้เท่าไหร่ บอกแค่เพียงว่าใช้ปลาทูวันหนึ่งประมาณ 10 - 15 กิโลกรัม ยังไม่รวมปลาอื่นๆ เช่น ปลาโชกุน วันหนึ่งใช้ใกล้เคียงกัน ในส่วนจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการต่อวันถ้านับจากจำนวนโต๊ะประมาณ 20 โต๊ะ โต๊ะละประมาณ 5-6 คน คุณฐาปนีบอกกับเราว่า ที่ไม่ขยายเวลาในการขายส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกค้า ส่วนใหญ่ก็จะว่างและมากินกันในเวลานี้ และเนื่องจากในย่านนี้ พอมืด สองทุ่ม ก็ไม่มีคนแล้ว และทำกันภายในครอบครัว รายได้แค่นี้ก็เพียงพอเลี้ยงและดูแลกันภายในครอบครัว
นางสาวฐาปนี เล่าว่า แม่ได้เปิดร้านข้าวต้มปีนี้ก็ย่างเข้าปีที่ 6 ซึ่งแม่มีทุนเดิมทำกับข้าวอร่อยอยู่แล้ว แต่ก่อนเปิดร้านอาหารตามสั่ง แต่ตอนหลังแม่ลองเปลี่ยนมาทำข้าวต้ม โดยใช้สูตรข้าวต้มปลาทูของยายมาลองทำขายดูปรากฎว่าขายดี ก็เลยตัดสินใจทำข้าวต้มขายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งตนเองและน้องสาวพอเลิกจากการทำงานประจำก็จะมาช่วยแม่ แต่ตอนหลังเริ่มขายดีมากขึ้น ก็เลยออกจากงานประจำมาช่วยทำตรงนี้อย่างเต็มตัว
ส่วนที่มาของ ชื่อร้านข้าวต้มโอ่ง มาจาก เราใช้การหุงข้าวในโอ่ง เพราะด้วยอยู่ใกล้ทะเลจะมีลมพัดแรง ทำให้ข้าวต้มร้อนไม่สม่ำเสมอ แก้ปัญหาด้วยการนำหม้อข้าวมาหุงในโอ่ง ช่วยบังลมได้ ทำให้ข้าวร้อนตลอดเวลา ที่สำคัญช่วยประหยัดแก๊สได้เยอะมาก จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของร้าน ลูกค้าเลยเรียกติดปากกันว่าร้านข้าวต้มโอ่ง ซึ่งเป็นชื่อร้านตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา
โทร. 08-6849-9097