สสว. เผยดัชนี TSSI SMEs ธันวาคม 53 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 55.0 และเป็นการเพิ่มขึ้นทุกภาคธุรกิจ ผลจากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น การส่งออกเพิ่มขึ้น บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น ราคาพืชผลการเกษตรดี และอยู่ในช่วงฤดูกาลเทศกาล ขณะที่ภาพรวมปี 2553 แม้ค่าดัชนีปัจจุบันส่วนใหญ่จะต่ำกว่าค่าฐาน 50 แต่ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2552 ปัจจัยหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจ การลงทุน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ (Trade & Service Sentiment Index : TSSI) ประจำเดือนธันวาคม เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2553 พบว่า ดัชนี TSSI SMEs รวมภาคการค้าและบริการเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 55.0 จากระดับ 43.8 (เพิ่มขึ้น 11.2) และเป็นการเพิ่มขึ้นทุกภาคธุรกิจ โดย ภาคค้าส่ง ภาคค้าปลีก และภาคบริการ ค่าดัชนีเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 52.4 55.5 และ 55.2 จากระดับ 44.5 43.8 และ 43.7 (เพิ่มขึ้น 7.9 11.7 และ 11.5) ตามลำดับ เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจประเทศและต่อธุรกิจตนเอง ค่าดัชนีเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับเดียวกันคือ 51.0 จากระดับ 41.2 และ 46.2 (เพิ่มขึ้น 9.8 และ 4.8) ตามลำดับ
“ผลการสำรวจในเดือนธันวาคม 2553 พบว่า ค่าดัชนีโดยภาพรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก มีผลมาจากภาวะเศรษฐกิจประเทศปรับตัวดีขึ้นชัดเจนต่อเนื่อง การส่งออกขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกซึ่งมีมูลค่า 17,372.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 18.8 ส่งผลให้ตลอดทั้งปีการส่งออกของประเทศขยายตัวสูงถึงร้อยละ 28.1 ขณะที่การบรรยากาศการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหลักทรัพย์ยังคงเพิ่มมากขึ้น ราคาพืชผลทางการเกษตรอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่อง สถานการณ์ทางการเมืองและสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ที่สำคัญเป็นช่วงเวลาของเทศกาลต่างๆ ทั้งคริสต์มาส ปีใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายเพิ่มมากกว่าปกติ” ผอ.สสว. กล่าว
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า รวมภาคการค้าและบริการ ค่าดัชนีปรับตัวลดลงอยู่ที่ 52.9 จากระดับ 56.8 (ลดลง 3.9) และเป็นการลดลงทุกภาคธุรกิจ โดยภาคค้าส่ง ภาคค้าปลีกและภาคบริการ ค่าดัชนีลดลงอยู่ที่ 55.7 52.5 และ 52.5 จากระดับ 56.8 57.2 และ 56.3 (ลดลง 1.1 4.7 และ 3.8) ตามลำดับ
อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคการค้าและบริการ ประจำปี 2553 กล่าวได้ว่าค่าดัชนีปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าฐานที่ 50 มีเพียงเดือนมกราคม และเดือนธันวาคม ที่ค่าดัชนีอยู่ในระดับที่เกินกว่า 50 โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม นับว่ามีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดของปี อยู่ที่ระดับ 55.0 ขณะที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ในระดับที่เกินกว่า 50 มาโดยตลอด มีเพียงเดือนเมษายน เท่านั้นที่ค่าดัชนีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อการดำเนินกิจการในปัจจุบัน ในระดับที่ไม่ดีนักมาโดยตลอด ทั้งนี้ยอดจำหน่ายและกำไร นับเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อความเคลื่อนไหวของค่าดัชนี
“ในปี 2553 นับเป็นปีที่มีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ เข้ามากระทบต่อความเชื่อมั่นค่อนข้างมาก ในส่วนของปัจจัยบวก ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศมีการขยายตัวในระดับที่ดีต่อเนื่อง ภาวะการลงทุนในประเทศมีความคึกคักมากขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ และมีการเบิกจ่ายงบประมาณลงสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยลบ มาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่วุ่นวายต่อเนื่อง ปัญหาภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ซึ่งนับว่ารุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ทั้งนี้แม้ว่าค่าดัชนีปัจจุบันของปี 2553 จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50 เป็นส่วนใหญ่ แต่ความเชื่อมั่นในภาพรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2552 ” ผอ.สสว. กล่าว
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ (Trade & Service Sentiment Index : TSSI) ประจำเดือนธันวาคม เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2553 พบว่า ดัชนี TSSI SMEs รวมภาคการค้าและบริการเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 55.0 จากระดับ 43.8 (เพิ่มขึ้น 11.2) และเป็นการเพิ่มขึ้นทุกภาคธุรกิจ โดย ภาคค้าส่ง ภาคค้าปลีก และภาคบริการ ค่าดัชนีเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 52.4 55.5 และ 55.2 จากระดับ 44.5 43.8 และ 43.7 (เพิ่มขึ้น 7.9 11.7 และ 11.5) ตามลำดับ เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจประเทศและต่อธุรกิจตนเอง ค่าดัชนีเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับเดียวกันคือ 51.0 จากระดับ 41.2 และ 46.2 (เพิ่มขึ้น 9.8 และ 4.8) ตามลำดับ
“ผลการสำรวจในเดือนธันวาคม 2553 พบว่า ค่าดัชนีโดยภาพรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก มีผลมาจากภาวะเศรษฐกิจประเทศปรับตัวดีขึ้นชัดเจนต่อเนื่อง การส่งออกขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกซึ่งมีมูลค่า 17,372.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 18.8 ส่งผลให้ตลอดทั้งปีการส่งออกของประเทศขยายตัวสูงถึงร้อยละ 28.1 ขณะที่การบรรยากาศการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหลักทรัพย์ยังคงเพิ่มมากขึ้น ราคาพืชผลทางการเกษตรอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่อง สถานการณ์ทางการเมืองและสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ที่สำคัญเป็นช่วงเวลาของเทศกาลต่างๆ ทั้งคริสต์มาส ปีใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายเพิ่มมากกว่าปกติ” ผอ.สสว. กล่าว
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า รวมภาคการค้าและบริการ ค่าดัชนีปรับตัวลดลงอยู่ที่ 52.9 จากระดับ 56.8 (ลดลง 3.9) และเป็นการลดลงทุกภาคธุรกิจ โดยภาคค้าส่ง ภาคค้าปลีกและภาคบริการ ค่าดัชนีลดลงอยู่ที่ 55.7 52.5 และ 52.5 จากระดับ 56.8 57.2 และ 56.3 (ลดลง 1.1 4.7 และ 3.8) ตามลำดับ
อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคการค้าและบริการ ประจำปี 2553 กล่าวได้ว่าค่าดัชนีปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าฐานที่ 50 มีเพียงเดือนมกราคม และเดือนธันวาคม ที่ค่าดัชนีอยู่ในระดับที่เกินกว่า 50 โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม นับว่ามีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดของปี อยู่ที่ระดับ 55.0 ขณะที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ในระดับที่เกินกว่า 50 มาโดยตลอด มีเพียงเดือนเมษายน เท่านั้นที่ค่าดัชนีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อการดำเนินกิจการในปัจจุบัน ในระดับที่ไม่ดีนักมาโดยตลอด ทั้งนี้ยอดจำหน่ายและกำไร นับเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อความเคลื่อนไหวของค่าดัชนี
“ในปี 2553 นับเป็นปีที่มีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ เข้ามากระทบต่อความเชื่อมั่นค่อนข้างมาก ในส่วนของปัจจัยบวก ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศมีการขยายตัวในระดับที่ดีต่อเนื่อง ภาวะการลงทุนในประเทศมีความคึกคักมากขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ และมีการเบิกจ่ายงบประมาณลงสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยลบ มาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่วุ่นวายต่อเนื่อง ปัญหาภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ซึ่งนับว่ารุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ทั้งนี้แม้ว่าค่าดัชนีปัจจุบันของปี 2553 จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50 เป็นส่วนใหญ่ แต่ความเชื่อมั่นในภาพรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2552 ” ผอ.สสว. กล่าว
