xs
xsm
sm
md
lg

"ชะอำบาร์บีคิว" เผยสูตรเด็ด แฟรนไชส์ของคนทุนน้อย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายอภินันท์ โภคสวัสดิ์ เจ้าของสูตร ชะอำ บาร์บีคิว
บาร์บีคิว อาหารว่างของนักชอปยามค่ำคืน โดยเฉพาะในยามที่อากาศเย็นในช่วงนี้ บาร์บีคิวเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน ร้านรถเข็นขายบาร์บีคิว เกิดขึ้นมามากมาย แต่ละคนมีสูตรที่แตกต่างกัน สำหรับ “ชะอำบาร์บีคิว” มีสูตรเด็ด ให้คนที่อยากจะเป็นพ่อค้า แม่ค้า รถเข็นบาร์บีคิวไม่ต้องกังวล เพราะการทำบาร์บีคิวที่ย่างและไม่มีควันมากไปรบกวนร้านข้างๆ

นายอภินันท์ โภคสวัสดิ์ เจ้าของสูตร ชะอำ บาร์บีคิว เล่าว่า ที่มาของชะอำ บาร์บีคิว เริ่มต้นมาจาก การที่ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในร้านของอาหารแห่งหนึ่ง ในช่วงวัยรุ่น มาสักประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนั้น ต้องทำงานทุกอย่างภายในร้าน รวมถึงการเข้าไปช่วยพ่อครัวในห้องครัวด้วย ทำให้ไปได้สูตรการทำสเต็กจากพ่อครัวในร้านมา เป็นสูตรการทำสเต็กอิตาเลียนจานร้อน
บาร์บีคิวขณะย่างไม่มีควัน
ทั้งนี้ การทำสเต็กอิตาเลียน จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับบาร์บีคิว ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเรียกกันว่าสเต็กบาร์บีคิว หลังจากนั้น ได้นำมาดัดแปลงสูตรสเต็กบาร์บีคิวออกมาเป็นบาร์บีคิวเสียบไม้ขาย แต่ก็ยังคงใช้วิธีบางอย่าง เช่นเดียวกับการทำสเต็ก เช่น การหมักหมูเหมือนกับสเต็ก และที่หันมาทำเป็นบาร์บีคิวขายแทนที่จะขายสเต็กเป็นจานๆ เพราะ บาร์บีคิวทำง่าย ขายง่าย และขายได้เร็วกว่า ลูกค้าสามารถซื้อไปกินที่ไหนก็ได้ ที่สำคัญราคาไม่แพง ทุกคนสามารถซื้อกิน โดยจะเสียบเนื้อชิ้นใหญ่กว่าบาร์บีคิวที่ขายกันทั่วไปเล็กน้อย เพี่อให้อรรถรสของการกิน เช่นเดียวกับสเต็ก เนื่องจากสูตรได้มาเป็นสูตรสเต็กบาร์บีคิว

โดยได้ทดลองทำขาย เริ่มต้นขายที่หน้าร้าน ซึ่งเป็นสถานบันเทิงที่ตนเองเป็นผู้ช่วยในร้าน โดยร้านเปิดอยู่ ในย่านตลาดอตก.ก่อน ซึ่งในช่วงนั้นประมาณ 5-6 ปีที่ผ่านมาสถานบันเทิงหรือผับที่เปิดในย่านนั้นได้รับความนิยมอย่างมาก มีผับเปิดติดๆ กันหลายร้าน ทำให้ขายดีมาก วันหนึ่งขายได้ 200-250 ไม้เกือบทุกวัน ลูกค้าจะเป็นพนักงานที่ทำงานในสถานบันเทิงเหล่านั้น และลูกค้าที่มาเที่ยวในย่านนั้น ซึ่งจะเริ่มขายตั้งแต่เวลา 1 ทุ่ม ไปจนถึง 5 ทุ่ม ขายไม้ละ 15 บาท ตอนหลังปรับราคาเป็นไม้ละ 20 บาท กำไรที่ได้ต่อวันประมาณ 1,700 - 1,800 บาท

" สุดท้ายผมก็ต้องทิ้งรายได้ที่ดีตรงนั้นไปด้วย เหตุผลเพียงแค่ว่า แฟนเห็นว่า เข็นรถขายบาร์บีคิวดูเป็นพ่อค้าไม่มีเกียรติ ก็ให้ได้เลิกขายและให้ไปสมัครทำงานประจำดู แต่การทำงานประจำรายได้กลับไม่ได้ดังที่คิด เพราะกิจการบริษัทที่ทำอยู่มีปัญหา สุดท้ายผมก็ตกงานจึงหันกลับมาขายบาร์บีคิวอีกครั้งที่ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ขายนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในย่านนั้น ซึ่งขายดีมากอีกเช่นกัน แต่การเข้ามาเปิดขายในกรุงเทพฯครั้งนี้ มาจากพี่ที่เคยทำงานร่วมกัน ได้ให้มาช่วยงานที่ร้านอาหาร ชื่อร้านแก้มลิง ถนนนวมินทร์ ตรงข้ามแฟลตคลองจั่น บางกะปิ ผมจึงนำบาร์บีคิวมาขายในร้านด้วย แต่ขายในร้านอย่างเดียวก็คงจะขายไม่ได้มาก จึงได้ทำบาร์บีคิวเสียบไม้ส่งให้กับพ่อค้า และคนที่สนใจรับไปขายต่อ พร้อมกับจ้างเด็กขายแบบรถเข็นใต้แฟลตคลองจั่นไปด้วย"

สำหรับแผนการตลาดที่วางไว้ คือ ต้องการจะขายในลักษณะของแฟรนไชส์ เพื่อให้คนที่ต้องการจะมีอาชีพ และต้องการสูตรบาร์บีคิวในแบบของเรา ได้มาทำธุรกิจร่วมกัน โดยส่งวัตถุดิบที่เป็นเนื้อหมักเสียบไม้ เพื่อให้ได้รสชาติที่เหมือนกันทุกร้าน ส่วนผักลูกค้าสามารถนำไปเสียบเองได้ ขายส่งในราคาไม้ละ 8 บาท ที่เหลือลูกค้าก็ไปตั้งราคาขายเอง ส่วนน้ำซอสที่ราด ก็มีขายด้วยเช่นกัน หรือ ลูกค้าสามารถไปซื้อเองได้ ปัจจุบันมีคนมารับไปจำหน่ายหลายราย และขายในราคาที่แตกต่างกันตามสถานที่ ราคาเริ่มตั้งแต่ 10 บาท 15 บาท และ 20 บาท

ส่วนแฟรนไชส์ขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดวางระบบ ซึ่งตั้งราคาแฟรนไชส์ไว้ประมาณ 4,000 บาท ถึง 5,000 บาท โดยลูกค้าจะได้อุปกรณ์การขาย หลักที่เรามีให้คือ เตา โต๊ะ พร้อมป้ายชื่อ “ชะอำ บาร์บีคิว” ส่วนที่มาของชื่อชะอำบาร์บีคิว เป็นชื่อเดิม ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เคยไปเที่ยวพื้นที่ดังกล่าว ยังการันตีความอร่อย สำหรับคนที่เคยกินได้ โดยร้านแรกของผมเอง ซึ่งเปิดขายที่ใต้แฟลตคลองจั่น ช่วงเย็นนั้น มีรายได้ต่อวันประมาณ 400 บาทถึง 500 บาท เปิดขายเฉพาะช่วงเย็นถึง 2 ทุ่ม ตั้งราคาขายไม้ละ 10 บาท เพราะเป็นแหล่งชุมชน

สำหรับจุดขายของชะอำ บาร์บีคิวของเรา คือ เมื่อย่างเนื้อบาร์บิคิวไปแล้วเนื้อจะไม่ย้อยลงมา ทำให้น้ำมันไม่หยดลงไปในเตา ซึ่งเป็นที่มาของการเกิดควันเวลาย่าง เป็นเหตุให้ไม่สามารถขายในสถานที่หลายแห่ง โดยเฉพาะในตึก อาคาร หรือหน้าร้านในชุมชน แต่ถ้ากรณีไม่มีควันเวลาย่าง ทำให้สามารถขายที่ไหนก็ได้ และที่เนื้อไม่ย้อยลงไปเวลาย่าง เพราะ เราไม่เสียบสับปะรดทิ้งไว้ หรือ เสียบไว้ใกล้กับเนื้อ เนื่องจากสับปะรดมีฤทธิ์เป็นกรด เมื่อหมักอยู่ใกล้กับเนื้อสัตว์ จะทำให้เนื้อสัตว์ยุ่ยได้

ส่วนผักจะนำมาเสียบที่หลังในระหว่างย่างขาย เพื่อให้ได้ผักที่สดและใหม่ แต่ส่วนของเนื้อสัตว์ จะหมักและเสียบทิ้งไว้ได้ เพราะถ้าเสียบหรือหมักทิ้งไว้ จะทำให้ซอสที่หมักเข้าเนื้อ และเนื้อนุ่มน่ากิน และได้กินผักที่สด โดยบาร์บีคิวของ จะเลือกใช้เนื้อสัตว์ 3 ชนิด คือ หมู เนื้อวัว และไก่ ที่ผ่านมา บาร์บีคิว เนื้อวัวจะขายดีมาก เพราะจะมีวิธีหมักเนื้อให้นุ่ม ไม่เหนียว โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชอบกินเนื้อวัว โดยเนื้อหมู และเนื้อวัวจะขายดีในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

โทร. 08-7533-9934
กำลังโหลดความคิดเห็น