กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยมในด้านช่วยระบบขับถ่าย ถูกนำมาแปรรูปเป็นขนมขบเคี้ยวหรือสแน็ก (Snack) เพื่อให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่รับประทานได้ง่ายขึ้น วางจุดเด่นเป็นของกินเล่นดีต่อสุขภาพ และช่วยภาคเกษตรของไทย
สะอาด จึงสมานญาติ ประธานวิสาหกิจชุมชนสนามจันทร์ จ.นครปฐม ดีกรีจบการศึกษาด้านการเกษตร จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เล่าว่า เดิมทางกลุ่มฯ ผลิตและจำหน่ายใบชาสมุนไพร แต่เห็นว่าในตลาดมีผลิตภัณฑ์ใบชาขายอยู่จำนวนมากแล้ว ทำให้การแข่งขันสูง จุดประกายให้ต้องการเปลี่ยนสินค้าตัวใหม่ โดยมองมาที่กระเจี๊ยบเขียว เนื่องจาก จ.นครปฐม มีการเพาะปลูกจำนวนมาก ซึ่งแต่ละปีจะมีผลผลิตเหลือล้นตลาด จึงอยากนำมาสร้างมูลค่าเพิ่ม และขยายหาตลาดใหม่ในประเทศ
จากไอเดียสู่ภาคปฏิบัติ เขานำเสนอแผนธุรกิจต่อหน่วยงานภาครัฐประจำ จ.นครปฐม และได้รับการอนุมัติงบดำเนินโครงการมาทั้งสิ้น 2.5 ล้านบาท สำหรับดำเนินโครงการแปรรูปกระเจี๊ยบเขียว ผ่านระบบอบแห้งสุญญากาศ
สะอาด เล่าเสริมว่า ความรู้ในการแปรรูป และการผลิตเครื่องจักรต่างๆ ศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง จากหนังสือ งานวิจัยต่างประเทศ และอินเตอร์เน็ต ซึ่งข้อดีของการอบแห้งสุญญากาศ จะรักษาคุณค่าทางสารอาหารไว้ได้ครบถ้วน อีกทั้ง คงสี กลิ่น และรสชาติไว้ได้ และช่วยยึดอายุสามารถเก็บไว้ได้นานนับปี
ทั้งนี้ เริ่มออกตลาดเมื่อประมาณ พ.ศ.2546 ในชื่อเครื่องหมายการค้า “ไพรทิพ” ถือเป็นผู้บุกเบิกตลาดในการนำกระเจี๊ยบเขียวมาแปรรูปเป็นสแน็ก และยังได้รับคัดเลือกเป็นสินค้าโอทอป 5 ดาว ประจำ จ.นครปฐม ด้วย
ประธานกลุ่ม เผยถึงคุณประโยชน์หลักของกระเจี๊ยบ ช่วยแก้ปัญหาด้านระบบขับถ่าย และทางเดินอาหาร เพราะเป็นพืชที่มีเส้นใยอาหารสูง เมื่อรับประทานแล้วจะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย แก้ปัญหาท้องผูก อุจจาระตกค้าง และรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญของคนยุคปัจจุบัน ที่มักไม่ค่อยมีวินัยในการรับประทานอาหารมากนัก
“การทำตลาดตั้งแต่แรก ผมวางกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไว้ที่ผู้บริโภคซึ่งมีปัญหาด้านขับถ่าย ซึ่งคนกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่จะไม่นิยมกินผักหรือผลไม้มากนัก ดังนั้น ผมใช้วิธีนำเสนอว่า กินกระเจี๊ยบสแน็กเป็นการดีท็อกซ์ลำไส้แบบไทยๆ โดยให้ผู้มีปัญหาด้านขับถ่ายทดลองชิม ซึ่งจะเห็นผลอย่างรวดเร็ว กินก่อนนอน 10-15 ฝัก ตื่นเช้าขับถ่ายได้สะดวกเลย ทำให้เกิดการบอกต่อจนเริ่มได้ออเดอร์มากขึ้นตามลำดับ” สะอาด เผยวิธีทำตลาดเบื้องต้น
เขา ระบุว่า ช่วงปีแรกจะแปรรูปโดยไม่มีการปรุงรสใดๆ ทั้งสิ้น มุ่งเฉพาะตลาดผู้บริโภคที่มีปัญหาระบบขับถ่าย จนสินค้าเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น จึงต้องการขยายลูกค้าสู่คนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นตลาดที่กว้างกว่าเดิม จึงได้ติดต่อขอรับความช่วยเหลือจากสถาบันการศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ในด้านพัฒนาปรับปรุงรสชาติให้หลากหลายยิ่งขึ้น ทำให้ปัจจุบัน มี 5 รสชาติ ได้แก่ สาหร่าย ลาบ ต้มยำ วาซาบิ และดั้งเดิม
ทั้งนี้ ราคาขายปลีก ถุงใหญ่ ขนาด 40 กรัม อยู่ที่ 40 บาท ส่วนถุงเล็กขนาด 10 กรัม ให้เด็ก วัยรุ่น หรือผู้ที่อยากเริ่มทดลองชิม ราคาถุงละ 15 บาท โดยปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าหลัก คือ ผู้รักสุขภาพ และผู้สูงอายุ มีช่องทางตลาดผ่านร้านสินค้าเพื่อสุขภาพต่างๆ เช่น โครงการหลวง ดอยคำ เลมอนฟาร์ม เป็นต้น รวมถึง ออกบูทตามงานแฟร์ อย่างโอทอปซิตี้ นอกจากนั้น ยังมีตัวแทนรับไปขายยังต่างประเทศ เช่น แคนาดา ยุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เป็นต้น
ด้วยกระแสรักสุขภาพที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทางกลุ่มฯ ได้พัฒนาสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นพืชที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยมในการช่วยบรรเทาโรคต่างๆ และยังไม่เป็นที่แพร่หลายในท้องตลาดมากนัก เช่น บร็อคโคลี่อบแห้ง ชาสมุนไพรมะระขี้นก และชาสมุนไพรจากเครื่องต้มยำ เป็นต้น
สะอาด เผยว่า ขณะนี้ กลุ่มมีสมาชิก ประมาณ 60 คน มีกำลังผลิตประมาณ 25,000 ถุงต่อเดือน โดยผลผลิตทางเกษตรส่วนใหญ่จะรับซื้อจากในท้องถิ่น อย่างกระเจี๊ยบเขียวสดจะรับซื้อ ในราคากิโลกรัมละ 18-20 บาท ถือเป็นอีกช่องทางที่ช่วยสร้างรายได้ในชุมชน ส่วนแผนในอนาคตเตรียมจะลงทุนก่อสร้างโรงงานใหม่ เพื่อยกมาตรฐานการผลิตสู่ระดับ HACCP ซึ่งจะทำให้สินค้าก้าวสู่ตลาดระดับประเทศ และสากลอย่างเต็มรูปแบบ
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
โทร.08-9616-7521 , 08-9881-8438
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *