“ยุทธศักดิ์” ตั้งเป้า 3 ปี สร้างเครดิตให้ สสว. เป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือระดับประเทศ ช่วยขับเคลื่อนกลไกแก้ปัญหา SMEs ทั้งเข้าถึงแหล่งทุนยาก พร้อมเล็งนโยบายช่วยลดอัตราภาษี
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า หลังจากเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการ สสว. เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตั้งเป้าภายใน 3 ปี ให้ สสว. เป็นหน่วยงานที่ได้การยอมรับ และน่าเชื่อถือระดับประเทศในฐานะเชี่ยวชาญและศูนย์กลางในการส่งเสริม SMEs รวมถึง ผลักดันให้ทุกฝ่ายเห็นความสำคัญของ SMEs อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ หาก สสว. ได้รับความน่าเชื่อถือดังกล่าว จะสามารถเข้าไปเป็นกลไกแก้ปัญหา SMEs ทั้งในด้านสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันใช้มาตรฐานเดียวกันกับบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนได้ยาก ดังนั้น หาก สสว. มีความน่าเชื่อถือ จะสามารถสร้างหลักประกัน เพื่อเป็นเงื่อนไขพิเศษ เพื่อให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งได้ง่ายขึ้น
รวมถึงด้านภาษีที่ SMEs ต้องเสียอัตราเดียวกันกับรายใหญ่ แต่เนื่องจากศักยภาพแข่งขันที่ด้อยกว่า ทำให้ SMEs เสียเปรียบอย่างมาก ดังนั้น อยากผลักดันให้ลดภาษีสำหรับ SMEs ซึ่งอัตราจะอยู่เท่าใดนั้น ต้องพิจารณาความเหมาะสมต่อไป
“ในประเทศญี่ปุ่น ให้ความสำคัญกับ SMEs มาก ให้สิทธิพิเศษเสียภาษีน้อยกว่ารายใหญ่มาก แต่เมืองไทยยังเสียอัตราเท่ากัน ดังนั้น SMEs ไทยจึงเสียเปรียบในการแข่งขัน ซึ่งผมคิดว่า หากลดอัตราภาษีลง จะช่วยลดภาระ และเสริมสภาพคล่องให้ SMEs และหาก SMEs ไทยที่ขณะนี้มีกว่า 2.8 ล้านราย มาเข้าระบบมากขึ้น จะเป็นการขยายฐานภาษี แม้จะลดอัตราภาษี แต่กรมสรรพากรจะเก็บรายได้ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การผลักดันใดๆ ก็ตาม สิ่งสำคัญเบื้องต้น ต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้ สสว. ได้เสียก่อน หากทุกฝ่ายเชื่อมั่น สสว. และหันมาให้ความสำคัญกับ SMEs อย่างแท้จริง การผลักดันความช่วยเหลือใดๆ ก็จะเห็นผลชัดเจนขึ้น”
นายยุทธศักดิ์ ระบุต่อว่า แผนปรับโครงสร้างองค์กรใหม่จะออกภายในอีก 1 -2 สัปดาห์ข้างหน้า และใช้จริงต้นเดือนมกราคม 2553 ส่วนงบประมาณ ปี 2553 ที่เสนอคณะรัฐมนตรี ได้ขอเพิ่มเติมจากเดิมที่ได้เมื่อปีที่แล้ว (2552) ประมาณ 260 ล้านบาทเป็น 400 ล้านบาท เพื่อมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายประจำ ราว 180 ล้านบาท ที่เหลือเป็นเงินดำเนินโครงการตามแผนต่างๆ