สสว. เผยความคืบหน้าโครงการเงินทุนสนับสนุนการประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี ขณะนี้ได้ใช้งบไปแล้วกว่า 31 ล้านบาท ช่วยเอสเอ็มอีจำนวน 419 ราย ผลสำรวจพบเอสเอ็มอี 75 รายที่ผ่านการช่วยเหลือ เกิดการซื้อขายกว่า 83 ล้านบาท ด้านวิกฤติการเงินโลก กระทบยอดส่งออกปี 2552 ลดลงร้อยละ 6.4 ชี้ภาครัฐต้องเร่งเสริมสภาพคล่องประคองธุรกิจผ่านพ้น
ดร.ณัฐพล ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวิเคราะห์และเตือนภัย SMEs รายสาขา (SAW) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า แนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านโครงการเงินทุนสนับสนุนการประกอบธุรกิจของ SMEs ไทย (Capacity Building Fund) ของ สสว. 2 โครงการ โครงการเงินทุนสนับสนุนการประกอบธุรกิจของ SMEs ไทย และโครงการพัฒนาระบบที่ปรึกษาธุรกิจไทย นั้น ผลการดำเนินงาน ขณะนี้ นั้นมีผู้ได้รับการช่วยเหลือไปแล้วจำนวน 419 ราย เป็นเงินสนับสนุนทั้งสิ้น 31,416,650 บาท
สำหรับโดยโครงการเงินทุนสนับสนุนการประกอบธุรกิจ ประกอบไปด้วย ระบบสนับสนุน SMEs เพื่อการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ (Internationalization Fund)เป็นเงินอุดหนุนให้กับ SMEs ในด้านค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ เพื่อการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ สูงสุดไม่เกิน 250,000 บาทต่อราย และ ระบบสนับสนุน SMEs ด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Fund)เป็นเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการนำผลงานไปจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา หรือใช้เป็นเงินสนับสนุนการซื้อทรัพย์สินทางปัญญา สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย
ส่วนเงินอุดหนุนในการจ้างที่ปรึกษาให้กับ SMEs เพื่อการพัฒนาระบบธุรกิจและการพัฒนาต่อยอดธุรกิจสินค้าหรือบริการ สูงสุดไม่เกิน 250,000 บาท โดยการติดตามและประเมินผลผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ จากการออกบูทในงานแสดงสินค้าจากที่ต่างๆ จำนวน 75 รายพบว่า มีการยอดการสั่งซื้อเข้ามาในงานจำนวน48,058,452 บาท คาดเกิดการซื้อขาย 83,907,566 บาท
ในส่วนของวิกฤติการเงินโลกที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตมากที่สุด ทำให้ผู้ประกอบการที่ทำการส่งออกสินค้าต่างๆ ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้รับผลกระทบ โดยคาดว่าจะทำให้ยอดการส่งออกของ SMEs ลดลงในปี 2552 นี้ประมาณร้อยละ 6.41 ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ SMEs ในด้านสภาพคล่อง คือ การที่ SMEs เหล่านี้จะสูญเสียรายได้ไปค่อนข้างมาก ส่งผลให้สภาพคล่องลดลงอย่างมาก จำเป็นที่ภาครัฐจะต้องช่วยเหลือในด้านการปล่อยสินเชื่อเพื่อให้สามารถประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นไปได้
ดร.ณัฐพล ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวิเคราะห์และเตือนภัย SMEs รายสาขา (SAW) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า แนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านโครงการเงินทุนสนับสนุนการประกอบธุรกิจของ SMEs ไทย (Capacity Building Fund) ของ สสว. 2 โครงการ โครงการเงินทุนสนับสนุนการประกอบธุรกิจของ SMEs ไทย และโครงการพัฒนาระบบที่ปรึกษาธุรกิจไทย นั้น ผลการดำเนินงาน ขณะนี้ นั้นมีผู้ได้รับการช่วยเหลือไปแล้วจำนวน 419 ราย เป็นเงินสนับสนุนทั้งสิ้น 31,416,650 บาท
สำหรับโดยโครงการเงินทุนสนับสนุนการประกอบธุรกิจ ประกอบไปด้วย ระบบสนับสนุน SMEs เพื่อการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ (Internationalization Fund)เป็นเงินอุดหนุนให้กับ SMEs ในด้านค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ เพื่อการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ สูงสุดไม่เกิน 250,000 บาทต่อราย และ ระบบสนับสนุน SMEs ด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Fund)เป็นเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการนำผลงานไปจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา หรือใช้เป็นเงินสนับสนุนการซื้อทรัพย์สินทางปัญญา สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย
ส่วนเงินอุดหนุนในการจ้างที่ปรึกษาให้กับ SMEs เพื่อการพัฒนาระบบธุรกิจและการพัฒนาต่อยอดธุรกิจสินค้าหรือบริการ สูงสุดไม่เกิน 250,000 บาท โดยการติดตามและประเมินผลผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ จากการออกบูทในงานแสดงสินค้าจากที่ต่างๆ จำนวน 75 รายพบว่า มีการยอดการสั่งซื้อเข้ามาในงานจำนวน48,058,452 บาท คาดเกิดการซื้อขาย 83,907,566 บาท
ในส่วนของวิกฤติการเงินโลกที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตมากที่สุด ทำให้ผู้ประกอบการที่ทำการส่งออกสินค้าต่างๆ ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้รับผลกระทบ โดยคาดว่าจะทำให้ยอดการส่งออกของ SMEs ลดลงในปี 2552 นี้ประมาณร้อยละ 6.41 ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ SMEs ในด้านสภาพคล่อง คือ การที่ SMEs เหล่านี้จะสูญเสียรายได้ไปค่อนข้างมาก ส่งผลให้สภาพคล่องลดลงอย่างมาก จำเป็นที่ภาครัฐจะต้องช่วยเหลือในด้านการปล่อยสินเชื่อเพื่อให้สามารถประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นไปได้
