คลัง เผยหลังประชุม กกร. ภาคเอกชนเสนอรัฐฯ ตั้งกองทุนดอกเบี้ยต่ำ ช่วยเอสเอ็มอีเพิ่มสภาพคล่อง พร้อมแข่งขันในอนาคต คาดเดือนธันวาคมปล่อยกู้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้ ชี้การควบรวบเอสเอ็มอีแบงก์ กับบสย. ไม่กระทบการค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กรณีที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เสนอให้รัฐบาลตั้งกองทุนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย คาดว่าผลการศึกษาแนวทางการตั้งกองทุนดังกล่าวจะเสนอให้พิจารณาได้ภายใน 1-2 วันนี้
ทั้งนี้กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาว่าจะจัดหาแหล่งเงินทุนมาจากไหนบ้าง โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้หาแหล่งทุน ทั้งการออกพันธบัตรหรือการกู้เงินจากแหล่งต่าง ๆ เมื่อเงินเข้ากองทุนแล้ว ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) จะเป็นผู้ดูแลเงินกองทุน เพื่อผ่านเงินไปให้ธนาคารพาณิชย์ นำไปใช้ปล่อยกู้ให้กับลูกค้า และต้องดูว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบจากความเสี่ยงจากการปล่อยกู้ คาดว่าหากเจรจาแนวทางการตั้งกองทุนกับธนาคารพาณิชย์ได้แล้วเสร็จกลางเดือนธันวาคม น่าจะสามารถปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ได้
“ยอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจในช่วงนี้จะมีปัญหาสภาพคล่อง จึงต้องให้ความสำคัญดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียนและมีความพร้อมแข่งขันได้ในอนาคต ส่วนขนาดกองทุนน่าจะมากกว่ากองทุนดอกเบี้ยต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะภาวะช่วงนี้เอกชนมีความต้องการเงินทุนเป็นจำนวนมากในการหมุนเวียนในกิจการ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าว
สำหรับแนวทางการควบรวมเอสเอ็มอีแบงก์กับบรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นั้น นายประดิษฐ์ กล่าวว่า คงไม่มีปัญหาด้านกฎหมายของทั้งสองหน่วยงาน และแผนควบรวมคงไม่สะดุดเหมือนที่เป็นข่าว เพราะการค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอี เป็นการค้ำประกันให้กับเอสเอ็มอีที่เป็นลูกค้าธนาคารพาณิชย์รายอื่น ไม่ใช่ของเอสเอ็มอีแบงก์ คาดว่าจะเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาได้เร็ว ๆ นี้